แก้ไขรัฐธรรมนูญ 11 ก.ย.63 นายวุฒิสาร ตันไชย เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้า กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุมและข้อเรียกร้องที่ให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ ว่า การเรียกร้องและการชุมนุมโดยสงบ และไม่ไปข้ามเส้นกฎหมายในเรื่องที่สามารถทำได้ เป็นสิทธิของนักศึกษาและเยาวชนทุกคนที่มีความรักชาติ เส้นขอบเขตนี้เป็นเรื่องปกติของการทำงาน แต่สิ่งสำคัญต้องพึ่งระวังไม่ให้เกิดการกระทบความเห็นทางความคิดที่รุนแรง และนำไปสู่ความขัดแย้งครั้งใหม่ คิดว่าตรงนี้ทุกฝ่ายต้องมีความระมัดระวัง เชื่อว่ารัฐบาลก็มีความระมัดระวังในการกำหนดท่าที และการตอบโต้กลับผู้ชุมนุม
ขณะเดียวกันกลุ่มที่มีความเห็นที่แตกต่างก็มีขบวนการของการเคลื่อนไหว คิดว่าเป็นสถานการณ์ที่ความคิดเห็นมีความแตกต่างออกเป็น 2 ขั้ว แต่หลายเรื่องที่เป็นข้อเรียกร้องตนคิดว่าสามารถคลี่คลายได้ในกลไกรัฐสภา ซึ่งเห็นได้จากการประชุมสภาในส่วนของกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาปัญหาหลักเกณฑ์ ละแนวทางการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 ที่ได้มีการรายงานผลการศึกษาก็มีข้อความเห็นและมีสมาชิกอภิปรายจำนวนมากร่วมทั้งมีการยื่นญัตติของพรรคการเมือง และมีแนวโน้มว่าจะมีการเปิดการประชุมเพื่อพิจารณาเรื่องนี้ในวันที่ 23 – 24 ก.ย.นี้
ตนคิดว่าทิศทางการเปิดประชุมสภาเพื่อพิจารณาการแก้รัฐธรรมนูญก็เป็นเรื่องหนึ่งของข้อเรียกร้อง จึงถูกหยิบยกขึ้นบนโต๊ะ และมีการหารือกัน คิดว่าสิ่งนี้สามารถคลี่คลายได้ในเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ แต่เรื่องอื่น ๆ ที่มีการเรียกร้องเพิ่มเติม เช่น การให้นายกรัฐมนตรีลาออก คิดว่าคนส่วนใหญ่ในสังคมประชาธิปไตยก็เห็นพ้องต้องกันอยู่ว่าไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติรัฐประหาร หวังว่าทุกฝ่ายมีความพยายามที่ใช้สติในการควบคุมการทำงานที่จะไม่ให้เกิดความรุนแรงขึ้นในสังคมนี้ คิดว่าสังคมมีบทเรียนเรื่องความรุนแรงมาพอสมควรแล้ว
ส่วนการการเสนอร่างแก้รัฐธรรมนูญทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาลยังไม่ตอบโจทย์ผู้ชุมนุม เพราะต้องใช้เวลานานในการแก้ไขรัญธรรมนูญ นั้น ต้องยอมรับว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยกลไกของรัฐธรรมนูญมีกรอบระยะเวลาที่ชัดเจน การแก้มาตรา 256 คือวิธีแก้รัฐธรรมนูญซึ่งอยู่ในหมวด 15 ทุกคนก็ทราบดีว่ากลไก คือ จำเป็นต้องมีการทำประชามติ ซึ่งกระบวนการทำประชามติก็ต้องใช้เวลาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้วันนี้หรือพรุ่งนี้เสร็จ เพราะกลไกถูกกำหนดไว้แล้วในรัฐธรรมนูญจึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงกติกานี้ได้ แต่ถ้าแก้รายมาตราที่ไม่เกี่ยวข้องกับหมวด 1 หมวด 2 หรือหมวด 15 สามารถแก้ได้เลยโดยรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม การแก้รัฐธรรมนูญทุกเรื่องมีผู้เล่นอยู่ 4 กลุ่มคือ ประชาชน พรรคการเมือง รัฐบาล และส.ว. ฉะนั้นประเด็นที่จะให้เห็นพ้องต้องกันจึงมีกลุ่มคนเหล่านี้เป็นสำคัญ คิดว่ากลไกสำคัญของความเห็นที่แตกต่างทางออกของประชาธิปไตยคือ การมีพื้นที่ให้พูดคุยและหาทางออกร่วมกันว่า ตกลงอะไรที่ได้ทันทีในระยะสั้น และอะไรที่ต้องรอในระยะยาว ทั้งนี้ความต้องการทั้งหมดนี้ไม่สามารถที่จะบรรลุและทำได้ในทุกอย่างในเวลาอันสั้น เพราะทุกอย่างมีกลไกและกติกาอยู่แล้ว
ขณะที่กลไกการโหวตผ่านวาระแรกต้องมีเสียง ส.ว.84 เสียง ยังไม่มีอะไรการันตีได้ว่าทาง ส.ว.จะเห็นด้วย อาจจะกลายเป็นจุดเดือดทางการเมืองอีกครั้งหนึ่ง นั้น การใช้ดุลยพินิจจะต้องนำสถานการณ์และบรรยากาศมาประกอบ เพราะความเห็นของประชาชนสำคัญมาก ถ้าผู้เล่นกลุ่มนี้สามารถมีข้อยุติเห็นตรงกันได้มากขึ้น ก็จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยยึดโยงกับ ส.ว.ซึ่งเราต้องยอมรับ และเคารพดุลยพินิจของทุกคน และคิดว่า ส.ว.ก็เป็นผู้ใหญ่เหมือนกันก็มีดุลยพินิจที่จะคิดเห็นกับบ้านเมืองด้วย ฉะนั้น การใช้ดุลยพินิจอย่างเพิ่งไปตัดสินว่าทำไม่ได้ ขึ้นอยู่กับประเด็น ส.ว.เห็นว่ามีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน แต่เท่าที่ฟังจากข่าวหลายคนก็มีการแสดงออกที่เห็นด้วยกับการแก้บางประเด็นในรัฐธรรมนูญ