ธนาธร หัวหน้าพรรค อนาคตใหม่ ประกาศบนเวที Future is Now #อย่ากลัวอนาคต เสนอพิมพ์เขียวพัฒนาประเทศไทย และ โมเดลเศรษฐกิจแบบประชารัฐ
เพจพรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party รายงานวันนี้ (18 มกราคม 2563) พรรคอนาคตใหม่จัดงาน Future is Now #อย่ากลัวอนาคต ที่อาคาร SC3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต โดยมีสมาชิกและประชาชนมาร่วมกิจกรรม ซื้อสินค้าระดมทุน รวมถึงการสมัครและต่ออายุสมาชิกเป็นจำนวนมาก
ธนาธรเริ่มต้นด้วยการพูดสรุปภาพรวมการทำงานของพรรคอนาคตใหม่พร้อมเสนอพิมพ์เขียวประเทศไทย
“หลายคนสงสัยว่าพรรคอนาคตใหม่กำลังทำอะไรอยู่ ผมอยากจะเรียนว่ากิจกรรมที่พรรคอนาคตใหม่ที่ทำอยู่หลากหลายนั้นมีความเป็นเอกภาพอยู่ ผมสามารถสรุปได้เป็น 3 อย่างด้วยกันคือ สู้-ซ่อม-สร้าง พรรคอนาคตใหม่กำลังสู้กับความไม่เป็นธรรมในสังคม พรรคอนาคตใหม่กำลังซ่อมความล้มเหลวของประเทศ และพรรคอนาคตใหม่จะสร้างสังคมให้ดีกว่านี้ นี่คือเอกภาพทางความคิดเองเรา กิจกรรมที่หลากหลายนั้น บางกิจกรรมเป็นเรื่องของการสู้ บางกิจกรรมเป็นเรื่องของการสร้าง และบางกิจกรรมอาจเป็นเรื่องของการซ่อม”
ธนาธร กล่าวว่าโมเดลการพัฒนาประเทศใน 4-5 ปีที่ผ่านมานั้นเป็น “โมเดลเศรษฐกิจแบบประชารัฐ” โดยสรุปแบบอย่างรวดเร็วได้ 3 อย่างดังนี้
1.ให้กลุ่มทุนใหญ่เป็นหัวหอกในการพัฒนาเศรษฐกิจและกำหนดนโยบายของประเทศในนามของประชารัฐ
2.เปิดเสรีให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนดังที่ทุกท่านได้เห็นอย่างโครงการ EEC โครงการรถไฟความเร็วสูง หรือโครงการไทยแลนด์ริเวียร่า เป็นต้น
3.สงเคราะห์คนยากไร้แค่พอให้อยู่ได้ โดยผ่านกลไกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
“โครงการแบบประชารัฐจะนำมาซึ่งแนวโน้มการผูกขาดด้านธุรกิจมากขึ้น การพึ่งพาการลงทุนจากต่างชาติ น่าจะทำให้ประเทศไทยเติบโตอย่างไร้เทคโนโลยี นอกจากนั้นอำนาจที่มาจากการแต่งตั้ง สูงกว่าเสียงของประชาชน สิ่งนี้จะทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำ ไม่ว่าจะเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน หรือความเหลื่อมล้ำทางสังคมรุนแรงมากขึ้น และสุดท้ายการกดทับสิทธิเสรีภาพ จะเป็นอุปสรรคในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการพัฒนานวัตกรรมของประเทศ โมเดลเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน อนาคตประเทศไทยจะนำมาซึ่งที่ผมกล่าวมาข้างต้นนี้”
ธนาธร กล่าวว่าเมื่อโลกหมุนเร็วขึ้น เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว สิ่งที่เราต้องกลัววันนี้ไม่ใช่กลัวอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ควรจะกลัวว่าจะสายเกินการณ์หรือไม่ เราต้องคิดว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นแบบไหนใน 10 ปีข้างหน้า เราอยากเห็นประชาชนมีความั่นคงในชีวิต เราอยากเห็นประเทศไทยมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเอง ประชาชนได้รับความยุติธรรมโดยเสมอภาคกัน ประชาชนเข้าถึงการบริการของภาครัฐที่มีประสิทธิภาพอย่างเท่าเทียม สังคมที่เอื้อต่อการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความหมาย ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในการแก้ไขปัญหาในเวทีโลก ผมคิดว่านี่คือประเทศไทยที่เราอยากเห็นการที่เราจะพาประเทศไปจุดที่เราฝันถึงได้ ตอนนี้เราจำเป็นต้องกลับมาดูปัญหาเศรษฐกิจในปัจจุบัน เพื่อแก้ไขให้ประเทศไทยไปสู่อนาคต
“ผมคิดว่าพิมพ์เขียวหรือแนวคิดการพัฒนาเศรษฐกิจ เราไม่สามารถพึ่งพิงทุนต่างชาติ ที่มองประเทศไทยเป็นเพียงฐานการผลิตได้อย่างเดียว เราไม่สามารถพึ่งพิงอุตสาหกรรมออโต้อิเล็กทรอนิกส์ที่มีอยู่ในประเทศไทยได้มากไปกว่านี้ เราต้องการ Supply chain ใหม่ เราต้องการ supply อุตสาหกรรมใหม่ หากจะทำอย่างนี้ได้ เราต้องการ G(การใช้จ่ายภาครัฐ) ตัวใหญ่ๆ เพื่อมาคิกออฟหรือเริ่มต้น และนำปัญหาของประเทศมาสร้างเป็นความต้องการ นำความต้องการมาสร้างเป็นอุตสาหกรรม อุตสาหากรรมที่เกิดขึ้น ต้องเป็นอุตสาหกรรมที่เป็นเทตโนโลยีที่คิดค้นจากคนไทย ทำให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ทำให้เกิดการจ้างงาน และทำให้เกิดเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างสมดุล เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นี่คือการเติบโตที่รับผิดชอบ รับผิดชอบต่อโลกมนุษย์ รับผิดชอบต่อลูกหลานของเรา รับผิดชอบต่อคนรุ่นต่อไป”
จากงบประมาณของประเทศ 3.3 ล้านล้านบาท รัฐบาลสามารถจัดสรรได้เพียง 1.2 ล้านล้านบาท เพราะส่วนที่เหลือคืองบผูกพัน ที่ไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาลก็ไม่สามารถจัดสรรได้ ซึ่งหลักการที่เราเสนอในการจัดการงบประมาณคือ Zero Based Budgeting อย่างจริงจัง หากย้อนดูการทำงบประมาณของปีก่อนๆ เราจะเห็นว่าเป็นการจัดสรรงบประมาณในรูปแบบเดิมทั้งหมด นั่นคือเต็มไปด้วยโครงการที่ออกแบบจากราชการส่วนกลาง งบอบรมต่างๆ ไปจนถึงการจัดนิทรรศการ ที่ไม่ตอบสนองกับชีวิตความเป็นอยู่ของพี่น้องประชาชน
“หลักการ Zero Based Budgeting คือ การจัดการงบที่จัดสรรได้แบบเก่าทั้งหมดจะต้องถูกโยนทิ้งไป แล้วปัญหาของประเทศคืออะไร ต้องใช้งบประมาณเท่าไร เราต้องมานั่งออกแบบและคิดกันใหม่ทั้งหมด นี่คือสิ่งที่เราต้องเปลี่ยน นี่คือพิมพ์เขียวในการบริหารจัดการรัฐที่จะดำเนินการแบบเดิมไม่ได้เพราะ ถ้าดำเนินการแบบเดิม 1.2 ล้านล้านบาท จะถูกนำไปใช้ในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน นอกจากนั้นการใช้จ่ายภาครัฐต้องไม่กระจุกอยู่แต่ในเมืองใหญ่ แต่ต้องกระจายให้ทั่วถึงทั้งประเทศ นอกจากจะพัฒนาการบริหาร พัฒนาท้องถิ่นได้แล้ว ยังสามารถลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจลดน้อยลงอีกด้วย และสุดท้ายต้องอย่าให้การตัดสินใจอยู่ที่กรุงเทพฯเพียงอย่างเดียว”
เครดิตภาพ พรรคอนาคตใหม่ – Future Forward Party