ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ยันไม่กังวลปมให้อนาคตใหม่กู้เงิน ย้ำไม่ใช่รายได้พรรค อ้างงานเยอะเลื่อนกกต.ส่งเอกสารแจง
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติเอกฉันท์ให้พรรคอนาคตใหม่ ส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มเติม ที่ให้พรรคกู้ยืมเงินกว่า 191 ล้านบาท ว่า ตนไม่กังวลในเรื่องคดีเงินกู้พรรค เนื่องจากเงินกู้มีความชัดเจนอยู่แล้วว่า เงินกู้เป็นหนี้สินอยู่ในงบดุล เงินกู้ไม่ใช่รายได้ และเงินกู้ไม่อยู่ในงบกำไรขาดทุน หากไปถามนักการบัญชีหรือนักกฎหมายที่ไหนก็บอกแบบนี้ และตนได้พูดกับสมาชิกพรรคไปหลายรอบในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ตนนึกไม่ออกว่ามันจะขัดกฎหมายหรือขัดรัฐธรรมนูญได้อย่างไร ซึ่งเราอยากทำงานการเมืองให้โปร่งใส โดยเราก็เปิดทุกอย่างให้สาธารณะรับทราบ และไม่แน่ใจว่าที่ทำแบบนี้จะผิดกฎหมายได้อย่างไร
นายธนาธร กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าในการส่งเอกสารชี้แจงเพิ่มกับกกต.นั้น เราก็ได้ตอบกกต.ด้วยวาจาไปแล้วว่า ช่วงนี้งานเยอะมากจริงๆ ทำให้ยื่นเอกสารไม่ทัน จึงขอเลื่อนระยะเวลาออกไป และไม่ได้มีการคุยนอกรอบกับกกต.ถึงเรื่องคดีที่ยังรอเอกสารชี้แจงอยู่ เนื่องจากเรามีงานที่ต้องทำอีกมาก ทั้งการรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญ การรณรงค์ผลักดันพ.ร.บ.ที่พรรคอนาคตใหม่ ส่งเข้าไปพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และยังมีความเดือดร้อนของประชาชนที่แจ้งมายังส.ส.ของพรรคอีกจำนวนมาก
เมื่อถามว่าหากมี ส.ส.เขตลาออก เพื่อเปิดทางให้ จะลงสมัครรับเลือกตั้งหรือไม่ นายธนาธร กล่าวว่า เราตั้งพรรคขึ้นมาไม่ใช่เพื่อมาเป็นรัฐมนตรี หรือเป็นส.ส. และการเป็นส.ส.เพื่อนำไปสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ใช่จุดมุ่งหมายสุดท้าย แต่ตั้งพรรคขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งส.ส.หรือไม่ใช่ส.ส.จึงไม่ใช่ประเด็นใหญ่
ส่วนในการอภิปรายเรื่อง “ผู้นำการเมืองกับอนาคตประเทศไทย” ที่หลักสูตรการพัฒนาการเมืองและการเลือกตั้งระดับสูง(พตส.)รุ่นที่ 10 จัดขึ้น ซึ่งนายธนาธรระบุตอนหนึ่งว่าไม่เลียท็อปบู๊ททหารนั้นถือเป็นความอึดอัดส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นจากคดีหรือไม่นั้น นายธนาธร กล่าวว่า ต้องถามว่าใครไม่อึดอัดบ้างในรอบ 10 กว่าปีที่ผ่านมา กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเชื่อว่าประชาชนต้องเห็นความไม่เป็นธรรมที่เกิดขึ้นในสังคมไทย และขอยืนยันอีกครั้งว่าพรรคอนาคตใหม่พร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อทวงคืนความเป็นธรรมและความถูกต้อง ในการลดอำนาจของกองทัพลง และปฏิรูปกองทัพเพื่อให้ได้รัฐบาลพลเรือน นี่จึงเป็นทางเดียวที่สังคมเดินไปข้างหน้าได้ เพื่อไม่ให้มีการรัฐประการเกิดขึ้นในอนาคต