วันที่ 18 เมษายน 2563 นพ.ทศพร เสรีรักษ์ ประธานศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เข้าร่วมการประชุมสมัยพิเศษของผู้นำอาเซียนบวกสาม (จีน ญี่ปุ่น และสาธารณรัฐเกาหลี) เพื่อหารือสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ผ่านระบบ Video Conference เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2563 โดยถ้อยแถลงตอนหนึ่งของ พล.อ.ประยุทธ์ ได้ระบุว่าไทยได้มอบน้ำยาชุดตรวจโควิด-19 ให้ประเทศอาเซียนประเทศละ 10,000 ชุด รวม 90,000 ชุด นับเป็นการแสดงให้เห็นถึงน้ำใจที่ไทยเรามีให้ประเทศเพื่อนบ้าน และยังแสดงให้เห็นว่าเรามีน้ำยาชุดตรวจ RT-PCR เพียงพอที่จะดูแลตรวจคนไทยได้อย่างทั่วถึง
แต่น่าสังเกตว่าก่อนหน้านี้ ศบค. จะมีการรายงานจำนวนการตรวจเชื้อโควิด-19 ทุกวัน โดยจะมีจำนวนการตรวจคงค้างรอผล และจำนวนการตรวจสะสม แต่ในระยะหลังรายงานส่วนนี้หายไป รายงานล่าสุดตัวเลขที่ปรากฏบอกว่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 3 เมษายน 2563 มีจำนวนการตรวจสะสมรวม 84,008 ตัวอย่าง และในวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยว่า รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขมีนโยบายเชิงรุกในการจัดการแก้ไขปัญหาการระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกำหนดยุทธศาสตร์ “1 จังหวัด – 1 แลป – 100 ห้องปฏิบัติการ” เพื่อเร่งตรวจคัดกรองผู้ป่วยโควิด-19 รายใหม่ ตามแนวทางการปรับเกณฑ์เฝ้าระวังสอบสวนโรค เพื่อค้นหาผู้ป่วยรายใหม่ให้เร็วและมากที่สุด โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้เร่งทดสอบความชำนาญทางห้องปฏิบัติการ การตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 เพิ่มขึ้นอีก 30 แห่งทั่วประเทศ เมื่อรวมกับห้องปฏิบัติการเดิมที่ผ่านการรับรองแล้วจำนวน 80 แห่ง ทำให้ในเดือนเมษายนนี้จะมีห้องปฏิบัติการที่สามารถตรวจหาเชื้อ SARS-CoV-2 รวม 110 แห่ง ครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ 12 เขตสุขภาพทั่วประเทศ รองรับความสามารถในการตรวจสูงสุดถึง 20,000 ตัวอย่างต่อวัน แต่จากตัวเลขจำนวนการตรวจระหว่างวันที่ 4 ถึง 10 เมษายน 2563 ที่มีการตรวจแค่ 16,490 ตัวอย่าง เฉลี่ย 2,355.7 ตัวอย่างต่อวันเท่านั้น ซึ่งนับว่าเป็นจำนวนการตรวจที่น้อยมาก เมื่อเทียบกับศักยภาพและจำนวนประชากรที่มีอยู่
ในส่วนของตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่แต่ละวัน ในช่วง 8 วันที่ผ่านมา อยู่ในระหว่าง 29-54 ราย แต่มาตรการป้องกันการนำเชื้อเข้ามาจากต่างประเทศโดยการปิดสนามบิน โดยคนไทยที่กลับมาจากต่างประเทศทุกคนต้องผ่านการคัดกรอง และต้องกักตัวเองเป็นเวลา 14 วันอย่างเข้มงวดยังต้องดำเนินต่อไป เช่นเดียวกับการควบคุมจำนวนการติดเชื้อในประเทศที่จะต้องมีมาตรการที่เข้มงวดด้วยเช่นเดียวกัน รัฐบาลจึงจำเป็นที่จะต้องตรวจสอบค้นหาผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการที่สามารถแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ต่อไป แล้วรีบแยกออกมารักษา
ศูนย์ร่วมใจสู้ภัยโควิด-19 พรรคเพื่อไทย ขอเรียกร้องให้รัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุขเร่งดำเนินการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ให้มากขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องปูพรมตรวจให้สิ้นเปลืองทรัพยากรและค่าใช้จ่าย ดังที่รัฐบาลมักจะใช้เป็นข้ออ้าง โดยการเลือกตรวจในกลุ่มเสี่ยงที่มีความเกี่ยวข้อง ไม่ใช่แค่การกักตัว 14 วัน ดังนี้
- บุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุข อสม. ทุกคนที่ทำงานเกี่ยวข้อง สัมผัส กับผู้ติดเชื้อ
- บุคคลทุกคนที่อยู่ในครอบครัว ในสถานที่ทำงาน หรือมีความสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อ
- กลุ่มผู้เดินทางกลับจากต่างประเทศ
- กลุ่มที่มีความเสี่ยงอื่น เช่น ผู้สูงอายุ ผู้ที่มีโรคประจำตัว เป็นต้น
โดยวิธีการตรวจ ให้ใช้ Rapid Test ตรวจ Antibody เป็นเบื้องต้น เพราะโควิด-19 ได้อุบัติขึ้นในประเทศไทย มาเป็นเวลานานพอสมควร ทำให้ผู้ที่ได้รับเชื้อสามารถสร้างแอนติบอดี้ในร่างกายให้ตรวจพบได้ และถ้าเป็นผลบวกจึงจะไปตรวจด้วยวิธี RT-PCR อีกครั้ง ซึ่งนอกจากค้นหาผู้ที่มีเชื้อในร่างกายมารักษาไม่ให้แพร่เชื้อต่อไปได้แล้วยังมีประโยชน์ในการศึกษาระบาดวิทยา เพื่อให้รู้ว่ากลุ่มผู้ติดเชื้อมีผู้ที่มีภูมิคุ้มกันอยู่มากน้อยแค่ไหนภายในประเทศ เพื่อจะได้หาวิธีการรักษาและป้องกันต่อไป