นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ร่วมอภิปรายในวาระรับทราบร่างรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่องแนวทางการสร้างความปรองดอง สมานฉันท์ของคนในชาติ ซึ่งคณะกรรมาธิการกฎหมาย การยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนพิจารณาเสนอ
โดยวิโรจน์ ระบุว่า สังคมไทยพูดถึงแนวทางการสร้างความปรองดองมานานแล้ว แต่สร้างไม่ได้กันสักที ถ้านับตั้งแต่ปี 2553 ที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่ชาติ (คอป.) ปัจจุบันครบสิบปีพอดี นับตั้งแต่รายงานออกมาในปี 2555 ความปรองดองไม่เคยเกิดขึ้นเลย เพราะรัฐไม่เคยเข้าใจนิยามของคำว่าปรองดองอย่างแท้จริง
ความปรองดองต้องเริ่มจากการแสวงหาข้อเท็จจริง ซึ่งส่วนใหญ่ก็มาจากการกระทำอันมิชอบและป่าเถื่อนของรัฐบาลในอดีต โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการ แล้วจึงตามมาด้วยกระบวนการเยียวยาความเสียหายอย่างเข้าอกเข้าใจกัน มีการรับผิด ขอโทษ จากนั้นจึงมีการอภัยโทษหรือนิรโทษกรรม เมื่อนั้นความปรองดองจึงจะเกิดขึ้นได้ และเมื่อความจริงถูกทำให้ปรากฏโศกนาฏกรรมเกิดขึ้นซ้ำอีก รัฐบาลยุคต่อ ๆ มาก็จะได้สำเหนียก มีความอดทนอดกลั้น ไม่ประพฤติชั่วร้ายเหมือนที่เคยทำมามาในอดีต
แต่ที่ผ่านมารัฐไทย โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการ ไม่เคยมองคำว่าปรองดองในมุมนี้ คำว่าปรองดองของรัฐไทยคือการกล่าวโทษไปที่ประชาชน ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็จะบอกว่าประชาชนผิด ไม่ตีแผ่ความผิดขอผู้มีอำนาจและกองทัพ ผู้ที่ครอบครองและใช้อาวุธประหัตประหารประชาชนเลย จากนั้นซื้อเวลาเพื่อให้คดีความหมดอายุความ บีบให้เหยื่อยอมรับกับชะตากรรมของตน แล้วขอให้สังคมลืมอย่าพูดถึงมันอีก ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2561 ไล่มาจนถึงเหตุการณ์พฤษภาอำมหิตในปี 2553
นายวิโรจน์ อภิปรายต่อว่า ยิ่งในปัจจุบันปัจจุบันภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ เลือกใช้วิธีการส่งเจ้าหน้าที่ไปคุกคามนักเรียน ม.ต้น ม.ปลาย ไปจนถึงนิสิตนักศึกษา อายุที่น้อยที่สุดคือ 12 ปี คุกคามกันแบบนี้ทั่วประเทศ วิธีการคือมีครูบางคนเอาข้อมูลส่วนตัวนักเรียนให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ, กอ.รมน. จากนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็ไปคุกคามนักเรียน ผู้ปกครอง มีการเปิดโรงเรียนให้เจ้าหน้าที่เหล่านี้เข้ามาในโรงเรียน ขู่ว่าจะไล่ออกบ้าง ให้สอบตกบ้าง แต่ที่แย่ที่สุดคือพยายามกดดันให้นักเรียนจัดกิจกรรมนอกโรงเรียน เพื่อให้เจ้าหน้าที่แจ้งความดำเนินคดีกับลูกศิษย์ของตัวเอง
นอกจากนี้ วันพุธที่ 5 ส.ค. พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ว่าพร้อมรับฟังนักศึกษา แต่อีกสองวันต่อมาออกหมายจับนักเรียน 31 คน นอกจากการคุกคามที่จะเป็นอุปสรรคต่อการปรองดองแล้ว ทัศนคติของรัฐบาลก็จะต้องเปลี่ยนด้วย อย่าไปเพ่งโทษกล่าวหา อย่าไปใช้คำว่าจาบจ้วงบ้าง ชังชาติบ้าง จนทุกวันนี้คนที่พูดคำพูดนี้กลายเป็นตัวตลกไปแล้ว ความขัดแย้งในวันนี้อาจจะเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงที่สุด ยืนยันว่าสิ่งที่รัฐบาลนี้กำลังทำอยู่ ซึ่งป็นการปองร้ายประชาชน