พ.ร.ก.ฉุกเฉิน วันที่ 7 กรกฎาคม 2563 นายวัฒนา เมืองสุข สมาชิกพรรคเพื่อไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก โดยระบุว่า
“ตามเอกสารงบประมาณ สภาพัฒน์คาดการณ์เศรษฐกิจ ปี 2563 ว่าจะติดลบ 5.5 % และเศรษฐกิจใน ปี 2564 จะเติบโต 4.5 % ทำให้หนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นปี 2564 อยู่ที่ร้อยละ 58 ของจีดีพี ทั้งหมด คือ ที่มาของการจัดทำงบประมาณรายจ่ายประจำ ปี 2564 ที่พรรคเพื่อไทยเห็นว่ารัฐบาลมีความสุ่มเสี่ยงต่อการล้มละลายทางการคลัง
ล่าสุด ธปท. คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2563 น่าจะติดลบถึง 8.1% ส่วนทีมวิจัยเศรษฐกิจธนาคารกรุงศรีอยุธยาคาดการณ์ว่าน่าจะติดลบถึง 10.3% นั่นคือการคาดการณ์ทางเศรษฐกิจของสภาพัฒน์ผิดพลาดอย่างร้ายแรง อันจะเป็นผลให้หนี้สาธารณะที่คาดว่าจะอยู่ที่ร้อยละ 58 จะกลายเป็นเกินร้อยละ 60 ซึ่งเกินกรอบความยั่งยืนทางการคลัง ทำให้รัฐบาลไม่สามารถกู้เงิน เพื่อนำมาชดเชยการขาดดุลงบประมาณหรือก่อหนี้เพิ่มได้อีก
นายกรัฐมนตรีไม่เคยตระหนักถึงหายนะดังกล่าว การกล่าวว่าหนี้สาธารณะของประเทศอื่นสูงกว่าเราอีก คือ การพูดแบบไม่รู้เรื่องอันเป็นที่มาของวลี “โง่” เพราะหลายประเทศที่หนี้สาธารณะสูงกว่าไทย เช่น ญี่ปุ่น หรือสหรัฐอเมริกา ล้วนมีฐานรายได้สูงกว่าไทยจึงมีขีดความสามารถที่จะชำระหนี้เงินกู้และดอกเบี้ยได้ ส่วนของไทยรายรับกับรายจ่ายประจำเท่ากัน หากก่อหนี้มากกว่านี้จะต้องกู้เงินมาจ่ายหนี้เงินกู้และดอกเบี้ย นั่นคือความล้มละลายทางการคลังที่พรรคเพื่อไทยกล่าวถึงในการอภิปรายงบประมาณ
ตัวเลขทางเศรษฐกิจทุกตัวล้วนส่งสัญญาณอันตรายและเป็นปัจจัยลบทั้งสิ้น รัฐบาลจึงควรเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ ขจัดความกลัวและสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถดูแลประชาชนให้ปลอดภัยจากโควิด19 เพื่อให้ประชาชนมั่นใจกลับไปทำกิจกรรมทางเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลกลับฉวยโอกาสขยายเวลาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้เศรษฐกิจไทยที่โคม่ากลายเป็นตายสนิท แก้ปัญหาไม่ได้ไม่มีใครว่าโง่เพราะสติปัญญาคนเราไม่เท่ากัน แต่อย่าทำตัวเป็นอุปสรรคแบบที่เรียกว่า “ถ่วงความเจริญ” ถ้าแค่นี้ยังคิดไม่ออกก็ไม่รู้จะเรียกว่าอะไร”