นักข่าวอิสระเปลือยชีวิต นักข่าวจนจน (นักข่าวที่ไม่ใช่ผู้ประกาศ) อึดทึกทนแต่ตายไม่ได้ เงินเดือนน้อย โอทีไม่คุ้มค่ารถเมล์ ค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า
2 ธ.ค. 68 ผู้ใช้เฟซบุ๊ก “Nipon Tangsangprateep“ นักข่าวอิสระ ได้ออกมาโพสต์ข้อความ ถ่ายทอดมุมมองเชิงลึกถึงความยากลำบากของอาชีพ “นักข่าว” (เน้นย้ำว่าไม่ใช่ผู้ประกาศข่าว) ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องเผชิญกับความเสี่ยง การทำงานหนัก และค่าตอบแทนที่ไม่คุ้มค่า โดยเจ้าตัวได้ระบุข้อความว่า
“นักข่าวไส้แห้ง..ต้องอึดทึกทนและต้องไม่ยอมตาย
นักข่าวคืออาชีพที่น่าสงสารที่สุดอาชีพหนึ่ง ถ้าไม่เชื่อลองอ่านดูครับ(ย้ำว่า นักข่าวไม่ใช่ผู้ประกาศข่าว)
บันไดขั้นที่1 :นักข่าวกับเวลานอน ครอบครัวและความเสี่ยง(ตาย)
เรื่องแรกอาชีพนักข่าวเท่ากับอาชีพรับจ้างอาชีพหนึ่งเหมือนคนทั่วไป
เงินเดือนนักข่าวหากจะเปรียบเทียบเท่ากับงานทั่วไปวุฒิปริญญาตรีที่ทำงานปกติ ปัจจุบันสตาร์ทก็หมื่นปลายๆถึงสองหมื่นนิดหน่อยต็มที่ ทดลองงานก็อาจต่ำกว่านั้น
อาชีพนี้ทำงานไม่เป็นเวลา บางทีตื่นตีสี่ตีห้า เลิกสี่ห้าทุ่ม บางทีไม่ได้นอน ถามว่ามีโอทีไหมบางที่มี บางที่เหมาจ่ายแต่คุ้มไหม?ไม่คุ้มหรอกอยู่ถึงเที่ยงคืนได้สองร้อย นั่งรถไหนกลับละถ้าไม่มีรถ หรือมอเตอร์ไซด์คำตอบคือรถเมล์
อาชีพนี้ถ้าอยู่ในสายข่าวสถานการณ์ เหตุการณ์ บอกได้คำเดียว “ฉิบหายและมีความเสี่ยงต่อชีวิต” เช่นน้ำท่วมไฟไหม้ อย่างสถานการณ์ชายแดนใต้ที่ผมอยู่มาทั้งปีตั้งแต่ปล้นปืน 47 (น่ากลัวแต่น่าทำท้าทาย) จบที่ธันวาคมจะกลับบ้านที่ไหนได้ “สึนามิ”เข้าอันดามัน ถูกส่งไปอยู่พังงาอีก 4 เดือนถึงได้กลับบ้าน
แต่ถ้าเป็นนักข่าวสายเศรษฐกิจ กีฬา บันเทิง ก็จะเบาหน่อยไม่ซีเรียสมาก บางครั้งนักข่าวด้วยกันเองก็แซวกันเองเช่น “รับของแจกแดกของฟรีสิ้นปีมีกระเช้า” แบบขำๆหรือไม่ขำดีไม่รู้
เรื่องเวลาอาชีพนักข่าวอย่าไปคิดว่า จะได้อยู่กับพ่อแม่ครอบครัวพี่น้องแบบทำงานประจำแปดโมงเช้าห้าโมงเย็น บางคนทำงานเข้ากะบางคนทำงานตามแหล่งข่าวที่ถูกมอบหมายให้ติดตาม ดึกบ้างเช้าบ้าง (บางคนบอกก็เลือกเองใช่เลือกเองครับ)
…ถึงตรงนี้ก็แบบที่บอกนักข่าวทำไมทำงานหนักปางตายแต่ตายไม่ได้
บันไดขั้นที่2 :เลื่อนยศเลื่อนชั้นเงินเดือนขึ้นฝันไปเถอะ
คนยึดอาชีพนี้ “ส่วนใหญ่” เป็นสถานะเดียวคือนักข่าว “จนแก่ตาย” ไม่มีเลื่อนชั้น คนข่าวเรียกว่าอยู่ในสนามข่าวจนตาย แต่จำนวนมากก็ภูมิใจเพราะนักข่าวคืออาชีพที่ทำเพื่อสังคมสาธารณะ
บางคนทำอาชีพนักข่าวมาสิบกว่าปี ดีใจได้เลื่อนชั้นเป็นนักข่าวอาวุโส รีไรท์เตอร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการ บรรณาธิการข่าว แต่เงินเดือนเพิ่มขึ้นนิดเดียว(หลักร้อยหลักพัน)
สมัยผมได้เลื่อนชั้นเป็น “ผู้สื่อข่าวอาวุโส” โอ้โห ดูเท่ห์หรือดูแก่ดี แต่เงินเดือนเพิ่มเติมนิดหน่อย หรือถ้าอยู่ไปเรื่อยๆก็เงินเดือนขึ้นตามลำดับ แต่ถ้าเทียบกับอาชีพอื่นอัตราการขึ้นเงินเดือนน้อยกว่าเยอะ
นักข่าวบางคนเลื่อนชั้นไปเป็นผู้ประกาศข่าวก็สบายหน่อย เพราะผู้ประกาศเงินเดือนจะก้าวกระโดดสูงเป็นหลายเท่าของนักข่าว โดยเฉพาะยุคทีวีดิจิทัลผู้ประกาศข่าวแต่ละที่เงินเดือนสูงลิ่ว
บันไดขั้นที่สาม ไปต่อหรือพอแค่นี้…?
หลายคนทำอาชีพนักข่าวไม่นานหรือระยะหนึ่งก็ผันตัวไปเป็นนักพีอาร์ โชคดีก็ได้อยู่บริษัทใหญ่ เพราะบริษัทใหญ่คิดว่านักข่าวช่วยพีอาร์เขียนข่าวเป็น(ยุคเก่า) รวมถึงมีคอนเนคชั่นช่วยประสานกับนักข่าวได้ โดยเฉพาะนักข่าวสายเศรษฐกิจ (แต่เอาจริงๆถึงเวลาบริษัทใหญ่ก็ต้องใช้เงินซื้อพีอาร์เหมือนเดิม555)
นักข่าวหลายคนโชคสองชั้นอาศัยเส้นสายแหล่งข่าวผันตัวไปเป็นข้าราชการหรือรัฐวิสาหกิจก็โชคดีไป
หลายคนหันไปทำอาชีพรับจ้างนักการเมืองเช่น ที่ปรึกษา เลขา คอยถือกระเป๋า คอยเป็นที่ปรึกษา บางคนไปเป็นนักการเมืองเลยก็มีให้เห็นเยอะ
นักข่าวอีกจำนวนมากต้องเลิกอาชีพนี้ไปเพราะวิกฤตสื่อและวิกฤตเศรษฐกิจ หายหน้าหายตาไปจากวงการจากการเลออฟไม่ต่างจากวงการอื่น
จรรยาบรรณวิชาชีพค้ำคอ
นักข่าวต้องมี“จรรยาบรรณ” คำนี้คนนอกวงการคงเคยได้ยินเพราะอะไร ง่ายๆก็คือสื่อมีสถานะเป็นบุคคล
ที่ต้องทำข่าวเพื่อสาธารณะ ถ้าไม่เป็นกลางก็เรียกไม่รักษาจรรยาบรรณ เช่นรับเงินมาเขียนข่าวเป็นต้น
นักข่าวเงินเดือนน้อย หลายคนเลยยอมแหกคอกขายตัวรับเงินจากแหล่งข่าวโดยเฉพาะจากกนักการเมืองหรือซีอีโอหน่วยงาน
ตอนจบของเรื่องนี้เลยต้องบอกว่า…
อาชีพนี้เหนื่อยก็ต้องทน ทนให้ถึงที่สุด ทนไม่ได้ก็ต้องทน เพราะวิกฤตสื่อที่แข่งขันสูง “นายจ้างใช้งานหนักเงินเดือนน้อย” จรรยาบรรณก็ต้องรักษา
อดีตนักข่าวเพื่อนร่วมรุ่นผมหลายคนเลิกอาชีพไปนานแล้ว หลายคนยังทำอยู่เพราะมีภาระและหลายคนขายวิญญาณไปแล้วแต่ก็เข้าใจ“
