17 มี.ค.60 นายชินณวุฒิ วิทยาลัย นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี นำเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบเก็บรายละเอียด กรณีมีการพบกลองสำริดโบราณในพื้นที่ บ้านคำอ้อม ม.11 ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม หลังจาก นายวิไล ศรีแสน อายุ 52 ปี ชาวบ้านมีติดต่อซื้อดินมาถมที่เพื่อปรับปรุงบ้านใหม่ จนกระทั่งภายหลังพบกลองสำริดโบราณติดมากับรถบรรทุกดิน จึงได้มีการนำมาเก็บรักษาไว้ บ้านเลขที่ 161 ม.11 บ.คำอ้อม ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม โดย นายจันทา ลาดบาศรี อายุ 60 ปี ผู้ใหญ่บ้านคำอ้อม หมู่ 11 ต.นาคู่ อ.นาแก จ.นครพนม ได้นำชาวบ้านประกอบพิธีถวายเครื่องสักการะบูชา ดอกไม้ธูปเทียนตามความเชื่อเพื่อเป็นการขอพรรับโชคลาภ ซึ่งชาวบ้านที่ทราบข่าวต่างเดินทางมากราบไหว้ขอโชคลาภตามความเชื่อไม่ขาดสาย
นายชินณวุฒิ วิทยาลัย นักโบราณคดีชำนาญการพิเศษ รักษาการผู้อำนวยการสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานี เปิดเผยว่า หลังทราบข่าวได้นำเจ้าหน้าที่นักโบราณคดีมาตรวจสอบเก็บหลักฐาน เบื้องต้นจากการตรวจสอบ พบว่าเป็นกลองสำริดโบราณสร้างจากทองเหลือง ตรวจสอบจากหลักฐานข้อมูลที่เคยขุดค้นพบแล้วยืนยันเป็นกลองสำริดโบราณจำแนกอยู่ในกลุ่มที่ 3 อายุจะอยู่ที่ประมาณ 1,500 ปี หรือที่เรียกว่า “กลองมโหระทึก” ซึ่งถือเป็นกลองที่สร้างขึ้นด้วยวิธีการหล่อในยุคโบราณ เพื่อนำไปใช้ในการประกอบพิธีศักดิสิทธิ์สำคัญ หรือเป็นกลองที่ใช้เกี่ยวกับการทำพิธีขอฟ้าขอฝน รวมถึงพิธีที่เป็นสิริมงคลต่าง ๆ โดยจะมีการเขียนลวดลายตามหลักความเชื่อโหราศาสตร์ ที่สำคัญจะมีรูปกบติดอยู่บริเวณหน้ากลอง ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลเชื่อว่า จะใส่รูปกบเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ตามหลักความเชื่อ เพราะกบหมายถึงฤดูฝนรวมถึงเป็นสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ถือเป็นความโชคดีของชาวบ้านที่มีการพบของโบราณอายุกว่า 1,000 ปี
จากข้อมูลการค้าพบในภาคอีสาน จะเคยขุดค้นพบประมาณ 4 -5 ใบที่ จ.นครพนม เคยมีการขุดค้นพบมาก่อนในพื้นที่ อ.ธาตุพนม และมีการนำไปเก็บรักษาไว้ในวัดพระธาตุพนม ซึ่งที่แหล่งที่มาส่วนใหญ่สันนิษฐานว่า จะมีการฝังไว้ในยุคการก่อสร้างองค์พระธาตุพนม เนื่องจากผู้มีจิตศรัทธาจะมีการเดินทางนำสิ่งของมีค่า ทรัพย์สินเงินทอง ไปร่วมสร้างองค์พระธาตุพนม แต่ต้องเดินทางด้วยเท้าใช้เวลาหลายปีหลายเดือน บางคนไม่ถึงต้องล้มหายตายจาก ทำให้มีการฝังสิ่งของเหล่านี้ไว้และมีการขุดค้นพบหลายจุด
สำหรับขั้นตอนการดูแลรักษานั้น ทางสำนักศิลปากรที่ 9 อุบลราชธานีที่ดูแลรับผิดชอบ จะได้มีการตรวจสอบบันทึกทำประวัติเพื่อขึ้นทะเบียนเป็นสมบัติของชาติ และให้ชาวบ้านเป็นผู้ดูและเก็บรักษาให้ประชาชนได้มาศึกษาเยี่ยมชมต่อไป