ตร.ท่องเที่ยวทลายเครือข่ายที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างชาติแอบแฝงเป็นนักท่องเที่ยวเข้ามาก่อคดีอาชญากรรม
ตามนโยบายของรัฐบาล ให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติกวดขันจับกลุ่มกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาในประเทศโดยแอบแฝงตัวเป็นนักท่องเที่ยว เพื่อเข้ามาก่ออาชญากรรม ข้ามชาติและอาชญากรรม
ที่กระทบกับความมั่นคงส่งผลต่อภาพลักษณ์และการท่องเที่ยวของประเทศไทย เช่น กลุ่มเครือ ข่ายหลอกลวงแต่งงาน กลุ่มเครือข่ายผลิตและปลอมบัตรเครดิต กลุ่มชาวต่างชาติที่ตั้งตัวเป็น กลุ่มกระทำความผิดอาชญากรรมต่างๆ และยาเสพติด รวมถึงกลุ่มชาวต่างชาติพักอาศัยอยู่ในประเทศโดยการอนุญาตสิ้นสุดลง ซึ่งในปัจจุบันได้พัฒนาวิธีการกระทำความผิดให้มีความซับซ้อน และหลบเลี่ยงการตรวจจับของเจ้าหน้าที่รัฐ สำนักงานตำรวจแห่งชาติจึงสนองนโยบายรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวโดย พลตำรวจตรีสุรเชษฐ หักพาล รอง ผบช.ทท. ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวทุกสถานีปฎิบัติการออกระดมกวาดล้างอาชญากรรม และบูรณาการกำลังจากหน่วยงานภาครัฐหลายฝ่ายประกอบด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการสาย ตรวจและปฏิบัติการพิเศษ 191 หน่วยอริทราช 26 หน่วยรบพิเศษสยบไพรีจากกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง เจ้าหน้าที่สุนัขตำรวจ หน่วยทหาร ชุดรักษาความสงบ โดยร่วมกันปิดล้อมตรวจค้นเป้าหมายบุคคลต่างด้าวที่อยู่ในประเทศไทยโดยผิดกฎหมายจำนวน 118 เป้าหมาย ทั่วประเทศ
สามารถทำการจับกุมผู้ต้องหาได้ ทั้งหมด 93 ราย แบ่งเป็นจับกุมข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยสิ้นสุดการอนุญาต จำนวน 18 รายจับกุมข้อหา เป็นบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำนวน 62 ราย จับกุมข้อหาอื่นๆ จำนวน 13 ราย
ในการตรวจสอบครั้งนี้ ได้ทำการตรวจสอบเป้าหมายจำนวนทั้งสิ้น 118 เป้าหมาย ในพื้นที่ โรงเรียนนานาชาติ 3 เป้าหมาย สถาบันสอนภาษา 9 เป้าหมาย โรงเรียนสามัญ 60 เป้าหมาย
เป้าหมายอื่นๆจำนวน 46 เป้าหมาย รวม ยุทธการ 23 ครั้งตรวจค้นเป้าหมาย 3247 เป้าหมายจับกุมผู้กระทำความผิดได้ทั้งหมด 1024 ราย
ขณะเดียวกัน ยังได้ร่วมกันจับกุม นายเอสซีโอซา เอ็นนัมดิลัคกี้ อายุ 35 ปี สัญชาติไนจีเรีย ผู้ต้องหาตาม หมายจับศาลอาญา คดีเกี่ยวกับยาเสพติด โดยจับกุมได้บริเวณคอนโด ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 จึงได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเฝ้าสังเกตการณ์ เมื่อพบชาวต่างชาติตำหนิรูปพรรณ เดียวกับผู้ต้องหา จึงแสดงหมายจับ และร่วมกันจับกุม ผู้ต้องหาดังกล่าวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป