ตำรวจภาค 5- ปปส. ขยายผลบุกค้นบ้าน-ยึดทรัพย์ มูลค่ากว่า 60 ล้านบาท ของเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ หลังยึดไอซ์ 560 กก. และยาบ้ากว่า 7 แสนเม็ด
เจ้าหน้าที่ชุดปฏิบัติการพิเศษกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ ปปส. ภาค 5 นำหมายศาลเข้าตรวจค้นบ้านของนางสาววิไลพร บานเย็น ที่ จ. เชียงใหม่ ซึ่งเป็นภรรยาคนที่ 4 ของนายธัญเทพ โปรติ หรือ ป๋าดอย อายุ 52 ปี หนึ่งในผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับ การบุกค้นและยึดทรัพย์ครั้งนี้ สืบเนื่องจากนายสุชาติ เทียนชัยพนา ชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมตัว พร้อมยาไอซ์ 500 กิโลกรัม และ ยาบ้า 708,000 เม็ด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะนำยาเสพติดมาส่งที่บริษัทขนส่งเอกชนรายใหญ่แห่งหนึ่ง ย่านตำบลฟ้าฮ่าม อำเภอเมืองเชียงใหม่ จากการสอบปากคำนายสุชาติ รับสารภาพว่า รับจ้างนำยาเสพติดส่งผ่านระบบโลจิสติกส์จากจังหวัดเชียงใหม่ไปให้ลูกค้าที่ภาคใต้ และซัดทอดว่า นายธัญเทพ โปรติ หรือ ป๋าดอย อายุ 52 ปี และนายประพล หรือ ป๋าแดง คำนุง เป็นผู้บงการ
จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้รวบรวมพยานหลักฐานก่อนออกหมายจับนายธัญเทพ และนำหมายค้นเข้าตรวจค้นในพื้นที่หลายจุดที่เป็นบ้านพักของนายธัญเทพ และบ้านพักของภรรยา โดยปฎิบัติการตรวจค้นครั้งนี้ เจ้าหน้าได้บุกค้นพื้นที่เป้าหมาย 3 จุด คือ หอพักธนกฤตเพลส ของนางวิไลพร บานเย็น และบ้านพักในอำเภอหางดง จังหวัดเชียงใหม่ จากการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ได้อายัดบ้านพร้อมที่ดิน อาคารหอพักพร้อมที่ดิน และรถยนต์ 4 คัน รวมมูลค่าทรัพย์สินกว่า 50 ล้านบาท สำหรับนายธัญเทพ โปติ และนายประพล คำนุง ซึ่งหลบหนีไป เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย
ด้าน พล.ต.ต.ภานุเดช บุญเรือง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 กล่าวว่า หากสามารถจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 2 รายได้เชื่อว่าจะสามารถขยายผลถึงแหล่งพักและแพ็คยาเสพติดก่อนนำส่งบริษัทโลจิสติกส์ได้ เนื่องจากนายสุชาติ ผู้ต้องหาไม่ให้ความร่วมมือเท่าที่ควร สำหรับบริษัทขนส่งเอกชน ที่รับขนส่งยาเสพติด ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมดในกระบวนการรับฝากพัสดุภัณฑ์ เพราะบริษัทขนส่งต้องอยู่ภายใต้กฎหมายยาเสพติดตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี แต่จากการตรวจสอบนายสุชาติ ระบุว่า ได้ฝากส่งยาเสพติดผ่านบริษัทดังกล่าวมาแล้ว 4 ครั้ง โดยสองครั้งแรกในเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา และเดือนมกราคมอีก 2 ครั้ง แต่ละครั้งมีจำนวนหลายสิบกล่อง แต่ปรากฏว่าเอกชนที่รับขนส่งกลับไปขอข้อมูลของผู้ฝากส่งและผู้รับปลายทาง โดยจะมีการรายงานให้ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ทราบต่อไป ขณะที่ตามกฎหมายหากปล่อยปละละเลยไม่ปฏิบัติตามระเบียบของ ปปส. มีบทลงโทษ 3 ระดับ คือ ปรับตั้งแต่ 1 – 1.5 หมื่นบาท หรือ สั่งให้หยุดกิจการครั้งละไม่เกิน 15 วัน และ 3 สั่งถอนใบอนุญาติประกอบกิจการ