นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร รองอธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ (สบส.) กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่าการตรวจสอบข้อมูลเอกสาร จากศูนย์รักษาผู้มีบุตรยาก ซูพีเรีย เอ.อาร์.ที. ซึ่งเป็นสถานพยาบาลที่ดำเนินการเก็บอสุจิของชายชาวเวียดนาม และชาวจีน รวม 6 หลอด ที่ถูกจับกุมระหว่างนำออกนอกประเทศที่จังหวัดหนองคาย โดยทางศูนย์ซูพีเรียฯนำมาแจ้งให้สบส. ว่าบุคคลที่มารับอสุจิ และได้รับมอบฉันทะจากเจ้าของอสุจิทั้ง 2 สัญชาติ ชื่อว่า นาย ยู มีพาสปอร์ตไทย เป็นลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่น เกิดที่ญี่ปุ่น และนายยู คือ คนที่ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมที่จังหวัดหนองคายเคยให้ข้อมูลไว้ว่าเป็นผู้ว่าจ้างให้หิ้วอสุจิข้ามไปฝั่งลาว แต่ไม่ยืนยันชื่อ และนามสกุลจริงของนายยู
นพ.ธงชัย กล่าวว่าหลังจากกรมเข้าตรวจสอบศูนย์แห่งนี้แล้ว สบส.มีข้อสังเกตในส่วนของผู้ที่รับมอบอำนาจมารับอสุจิว่าทำไมถึงเป็นคนไทยเดียวกันที่มารับทั้งที่เจ้าของอสุจิมาจากคนละประเทศ อีกทั้งจากการขยายผลของทางเจ้าหน้าที่ที่จังหวัดหนองคาย ยังพบเอกสารแบบฟอร์มของคลินิกในต่างประเทศ ที่ไม่อยู่ในเมืองไทย เป็นคลินิกในฝั่งลาว และเป็นคลินิกเป้าหมายที่จะนำส่งอสุจิไปหรือไม่ ทางสบส.จะส่งข้อสังเกตทั้งหมดให้กับตำรวจดำเนินการต่อไป ซึ่งเรื่องนี้น่าจะมีการเกี่ยวข้องเป็นกระบวนการ เพราะมีบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้อง 3 ถึง 4 คน คือผู้ที่จะนำอสุจิออกนอประเทศ ผู้ที่มาเบิกอสุจิ เจ้าของอสุจิ และสถานพยาบาล เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ต้องมีการสืบสวนสอบสวนต่อไปว่ามีใครเกี่ยวข้องแค่ไหน
นพ.ธงชัย ชี้แจงกรณีที่ศูนย์ซูพีเรียฯบอกว่าถังไนโตรเจนที่ยึดได้ไม่ใช่ของศูนย์ฯ ซึ่งอสุจิหากอยู่ในสภาวะปกติจะอยู่ได้ 24 ถึง 48 ชั่วโมง ในขั้นตอนการเก็บอสุจิตจึงต้องมีการแช่แข็ง ดังนั้น สถานพยาบาลทุกแห่งที่มีการเก็บรักษาอสุจิจะต้องมีถังไนโตรเจนเพื่อเก็บอสุจิ กรณีที่มีการมาเบิกอสุจิออกไป อาจเป็นไปได้ว่าคลินิกจะให้ถังไนโตรเจนไปกับเจ้าของอสุจิ หรือเจ้าของอสุจิที่มารับจะนำถังไนโตรเจนมาเองก็ได้ แต่อสุจิจะต้องเก็บรักษาไว้ในถังไนโตรเจน