ไม่จบ!ปัญหาแท๊กซี่-อูเบอร์พัทยา ตำรวจตั้งข้อหา “กักขังหน่วงเหนี่ยว” 4 แท๊กซี่พัทยา หลังคนขับอูเบอร์แจ้งความดำเนินคดี ขณะที่กลุ่มแท็กซี่ให้การปฏิเสธ พร้อมเข้าร้องขอความเป็นธรรม
จากกรณีที่ นายสุรศักดิ์ คูคำ อายุ 29 ปี โชเฟอร์รถอูเบอร์ เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้า หน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี พร้อมนำคลิปวีดีโอแสดงหลักฐานกรณีที่ถูกกลุ่มผู้ขับขี่รถแท๊กซี่จำนวนหลายรายพาคนมาปิดล้อมรถยนต์ส่วนตัวขณะจอดรับผู้โดยสารชาวต่างชาติ บริเวณถนนพัทยาสายสอง ม.5 ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี โดยระบุว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเข้าข่ายการกักขังหน่วงเหนี่ยวและข่มขู่ ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น
ล่าสุดวันนี้ พล.ต.ท.จิตติ รอดบางยาง ผบช.ภาค 2 พร้อมด้วยกำลัง ได้เชิญตัวผู้เกี่ยว ข้องทั้งหมดทั้งในส่วนของผู้เสียหาย และกลุ่มรถแท๊กซี่ เข้าร่วมทำการแถลงข่าว โดยระบุว่าเหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งเป็นการกระทบกระทั่งกันในเรื่องทำกินระหว่างผู้ประกอบการ 2 ฝ่าย ซึ่งหลังเกิดเหตุก็ได้นำตัว นายสุรศักดิ์ คนขับรถอูเบอร์ มาเปรียบเทียบปรับจำนวน 1,000 บาทในข้อหาใช้รถผิดประเภทตามกฎหมาย จากนั้นนายสุรศักดิ์ ก็ได้มาแจ้งความดำเนินคดีกับกลุ่มคนขับแท๊กซี่ โดยแจ้งว่าได้รับความเสียหายจากการสูญเสียอิสรภาพ ทั้งนี้ทางพนักงานสอบสวนจึงได้แจ้งข้อหาผู้ที่ร่วมอยู่ในเหตุการณ์จำนวน 4 ราย โดยกล่าวหาว่า “ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียง หรือทรัพย์ สิน และร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกายและให้ผู้อื่นนั้นกระทำการใดให้แก่ผู้กระทำหรือบุคคลอื่น” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 และ 310 โดยผู้ต้องหาทั้ง 4 คนให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะได้ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
โดยพล.ต.ท.จิตติ กล่าวว่าปัญหาระหว่างแท๊กซี่กับอูเบอร์ เกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 ซึ่งถือว่าสร้างความเสีย หายหลายด้าน กรณีนี้ที่ผ่านมาเคยมีการเรียกประชุมผู้ประกอบการและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุลักษณะนี้ขึ้นอีกแต่สุดท้ายก็ยังมีปัญหาขึ้น ซึ่งจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะทำการกวดขันมากขึ้นในการจับกุมกลุ่มรถอูเบอร์ เนื่องจากถือว่าเป็นการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย ขณะที่รถแท๊กซี่เองก็จะต้องปฏิบัติตนในอยู่ในกรอบเช่นกัน ทั้งตามข้อกำหนดของการให้บริการ และการละเลิกพฤติกรรมในการปิดล้อม ข่มขู่ ซึ่งหากยังฝ่าฝืนก็จะต้องดำเนินคดีเช่นกัน อย่างไรก็ตามจากนี้คงจะต้องมีการเรียกประชุมหารือผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดอีกครั้ง เพื่อขอความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจังต่อไป