ทหาร-ตำรวจ จ.กาญจนบุรี บุกค้นบ้านอดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลดัง พร้อมยึดอาวุธปืนหลายกระบอก เครื่องกระสุนมากพร้อมด้วยแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือจดทะเบียนรถจำนวนมาก ด้านผู้ต้องระบุรับซื้อมาจากเพื่อนเองจากชอบสะสมอาวุธปืน
พลตำรวจตรีคำรณ บุญเลิศ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดกาญจนบุรี แถลงข่าวผลการบุกตรวจค้นและจับกุม นายทวี ตาสว่าง อายุ 55 ปี อดีตสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลชื่อดังแห่งหนึ่ง ภายในหมู่บ้านเอื้ออาทรวังขนาย หมู่ 3 ตำบลวังขนาย อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบเบาะแสว่า นายทวีนั้น มีพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับซื้อซากรถมาซ่อมเพื่อนำไปจำหน่ายต่อและรับจำนำรถยนต์หรือทะเบียนรถ ซึ่งมีความน่าสงสัยว่าอาจจะเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงประสานกำลังทหารชุดกองร้อยรักษาความสงบ กองพลทหารราบที่ 9 นำกำลังพร้อมหมายศาลเข้าทำการตรวจค้นที่บ้านของนายทวี ก่อนจะสามารถตรวจยึดอาวุธปืนยาว ขนาด .22 หนึ่งกระบอก อาวุธปืนลูกซองยาว 1 กระบอก อาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 11 มิลลิเมตร 1 กระบอก อาวุธปืนออโตเมติก ขนาด 9 มิลลิเมตร 2 กระบอก พร้อมด้วยเครื่องกระสุนปืนขนาดต่างๆอีก จำนวนมากกว่า 400 นัด ซองบรรจุปืน แม็กกาซีนปืน รวมถึงแผ่นป้ายทะเบียนรถยนต์ สมุดคู่มือรถยนต์ รถจักรยานยนต์และรถบรรทุกอีกหลายสิบเล่ม
เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวนายทวีมาสอบสวนที่สถานีตำรวจภูธรท่าม่วง ในเบื้องต้น นายทวีให้การรับสารภาพว่า อาวุธปืนทั้งหมดเป็นของตนเอง โดยนายทวีได้ทำการขอซื้อต่อมาจากบรรดาเพื่อนและคนรู้จักเพื่อนำมาสะสม เนื่องจากมีความชื่นชอบในการสะสมอาวุธปืนเป็นพิเศษ แต่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจในเบื้องต้นพบว่า ปืนบางกระบอกมีการใช้สมุดทะเบียนปืนเล่นเดียวกัน จึงต้องนำไปตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่า กระบอกไหนเป็นกระบอกที่ตรงกับทะเบียนและกระบอกไหนที่นำมาสวมทะเบียน ขณะที่ในส่วนของแผ่นป้ายทะเบียนและสมุดคู่มือรถนั้น นายทวีอ้างว่า ตนทำอาชีพรับซื้อและรับจำนำรถ แผ่นป้ายและสมุดคู่มือที่ตรวจพบ เป็นของลูกค้าที่นำมาจำนำไว้กับตน ขณะที่บางส่วนเป็นของลูกค้าที่ทำการโอนย้ายรถและเปลี่ยนหมายเลขทะเบียนรถ จึงนำแผ่นป้ายทะเบียนเก่ามาทิ้งไว้ที่ตน อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อและได้ดำเนินการอายัดรถที่นายทวีรับจำนำเอาไว้ที่บ้านอีกหลายคันไปตรวจสอบ ว่าเป็นรถที่ตรงกับสมุดคู่มือรถที่รับจำนำไว้หรือไม่ รวมถึงมีการนำรถไปดัดแปลงหรือสวมทะเบียนหรือไม่ต่อไป