นักโทษประหาร! กรมราชทัณฑ์ฉีดสารพิษสังหาร นช.คดีฆ่าชิงทรัพย์ หลังว่างเว้นประหารชีวิตนักโทษมานานกว่า 8 ปี
พันตำรวจเอก ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เมื่อเวลา 15.00-18.00 น. วันนี้ (18 มิ.ย.61) กรมราชทัณฑ์ ได้บังคับโทษตามคำพิพากษาของศาลด้วยการประหารชีวิตนักโทษเด็ดขาดชายในคดีฆ่าผู้อื่นอย่างทารุณโหดร้ายเพื่อชิงทรัพย์ ที่จังหวัดตรัง เมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2555 โดยนักโทษเด็ดขาดดังกล่าวได้ทำร้าย และบังคับให้เอาทรัพย์สิน คือ โทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ รวมทั้งใช้มีดแทงผู้ตาย รวม 24 แผล เป็นเหตุให้เหยื่อถึงแก่ความตาย โดยศาลชั้นต้น พิพากษาประหารชีวิตศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกาพิพากษายืนเป็นผลให้คดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ การบังคับโทษประหารชีวิตดังกล่าว เป็นการดำเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา245 ประกอบมาตรา19 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และระเบียบกระทรวงยุติธรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการประหารชีวิตนักโทษ พ.ศ.2546 ซึ่งกำหนดให้ดำเนินการด้วยวิธีการฉีดยาหรือสารพิษให้ตาย นับเป็นผู้ต้องขังรายที่7 นับแต่มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่16) พ.ศ.2546 ซึ่งเปลี่ยนวิธีการบังคับโทษประหารชีวิตจากการยิงเสียให้ตายเป็นการฉีดสารพิษ
สำหรับมีการบังคับโทษประหารชีวิต นับตั้งแต่ปี พ.ศ.2478 ถึงปัจจุบัน มีการบังคับโทษ จำนวน 325 ราย โดยแยกเป็นการใช้อาวุธปืนยิง จำนวน 319 ราย (ยิงรายสุดท้ายเมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2546) การฉีดยาสารพิษ จำนวน 6 ราย (ฉีดสารพิษครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2546 และครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2552) ซึ่งการประหารชีวิต ถือเป็นบทลงโทษทางอาญาที่หนักที่สุดตามกฎหมายไทย แม้หลายประเทศได้ยกเลิกโทษประหารชีวิตไปแล้วก็ตาม แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่ยังคงมีโทษประหารชีวิตอยู่เช่นเดียวกับประเทศไทย อาทิ สหรัฐอเมริกา และจีน ถือเป็นการปกป้องสังคม และพลเมืองส่วนใหญ่ให้พ้นจากการตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมากกว่าเน้นสิทธิเสรีภาพของปัจเจกบุคคลที่กระทำผิดกฎหมาย