พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) และเลขาธิการคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวถึงกรณีที่มีการใช้ มาตรา 44 เพื่ออำนวยสะดวกเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายต่อกรณีวัดพระธรรมกาย ว่า ในภาพรวมการดำเนินการเป็นหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งการดำเนินการที่ผ่านมามีความเรียบร้อย โดยเป็นการบังคับใช้กฎหมายกับผู้กระทำความผิดที่มีความเกี่ยวพันกับผู้เสียหายเป็นจำนวนมาก ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐได้นำหมายค้นไปหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมีประชาชนจำนวนมากอยู่ภายในวัด ดังนั้นทางคสช. จึงจำเป็นต้องออกมาตรา 44 ประกาศเป็นพื้นที่ควบคุม เพื่อให้ประชาชนภายในที่ไม่เกี่ยวข้องเดินทางออกมาจากวัด ซึ่งได้รับความร่วมมืออย่างดี ส่วนที่เหลือเป็นการดำเนินการตรวจค้นตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ตำรวจ อย่างไรก็ตามภาพรวมทั้งหมดได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย อาจจะมีกระทบกระทั่งบ้างเล็กน้อย แต่สถานการณ์ก็คลี่คลายไปได้ด้วยดี ซึ่งในวันนี้(17 ก.พ.) ทางดีเอสไอจะดำเนินการต่อไป
สำหรับการดูแลสถานการณ์ในพื้นที่วัดนั้น เป็นความรับผิดชอบของ กกล.รส. ในภาพใหญ่ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่รับผิดชอบของหน่วยบัญชาการป้องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก (นปอ.ทบ. ) โดยจัดกำลังจำนวน 2 กองร้อยรับผิดชอบผิดพื้นที่ภายนอก และอีก 4 กองร้อยที่ดูแลภายนอกอีกชั้นหนึ่ง อีกทั้งได้มีการคัดแยกคน และตรวจสอบอาวุธ เพื่อป้องกันมือที่สามเข้ามาสร้างสถานการณ์ พร้อมได้ย้ำว่าการดำเนินการทุกอย่างนั้นทำอย่างละเอียด และทำอย่างนิ่มนวล ส่วนตัวเชื่อว่าเหตุการณ์ดังกล่าวคงไม่เกิดเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว เพราะเจ้าหน้าที่ดำเนินการประชาชนชี้แจงให้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นอกจากนี้ พล.อ.เฉลิมชัย ยังระบุว่า ตรงจุดนี้มีการยืดหยุ่นมาพอสมควรแล้ว เพราะที่ผ่านมาได้ใช้เวลาชี้แจงทำความเข้าใจกับบุคคลากรในวัด และประชาชน ซึ่งขณะนี้คนที่เข้ามาต่อต้านก็ลดน้อยลง แต่ยังคงมีบางส่วนที่เชื่อมั่น ยึดมั่น ซึ่งทางก็ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจกันไป อย่างไรก็ตามในทางการข่าวก็ยังตอบไม่ได้ว่า พระธัมมชโย อยู่ในวัดหรือไม่ เพราะยังไม่ลงลึกในรายละเอียด ซึ่งภายใน 1-2 วันนี้ คงจะทราบผลชัดเจนว่าจะพบตัวหรือไม่พบตัว
ทั้งนี้ ขอให้ช่วยกันทำความเข้าใจและใช้เหตุผล อย่าเอาความเชื่อเพียงอย่างเดียว บ้านเมืองเรายุ่งยากทุกวันนี้ ก็เพราะเป็นความเชื่อส่วนตัวที่ไม่ได้ตัดสินด้วยเหตุผล จนบางทีก็กลายเป็นความหลงไปที่สำคัญกฎหมู่ต้องไม่อยู่เหนือกฎหมาย ฉะนั้นจึงอยากให้ประชาชนเคารพกฎหมาย เพราะว่าทุกคน รวมทั้งตนก็อยู่ใต้กฎหมายเหมือนกัน ถ้าทำผิดกฎหมายแล้วถูกจับก็เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าไม่ผิดก็ไปสู้ในกระบวนการยุติธรรม
