กลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาทันที หลังจาก คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกประกาศ เรื่อง กําหนดตําแหน่งของผู้มีหน้าที่ยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ตามมาตรา 102 พ.ศ. 2561 ให้เจ้าหน้าที่ของรัฐและผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช.ทั้งของตัวเอง คู่สมรส และบุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ รวมไปจนถึงผู้ที่อยู่กินฉันสามีภริยาโดยมิได้จดทะเบียนสมรส
แรงกระเพื่อมหนักมาก!! เมื่อ ป.ป.ช. ออกประกาศเพิ่มเติ่ม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามทุจริต บังคับใช้ครอบคลุมไปถึงตำแหน่ง นายกสภามหาวิทยาลัย กรรมการสภา และอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับของรัฐ มหาวิทยาลัยรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ (มรภ.) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล (มทร.) รวมไปถึง มหาวิทยาลัยสงฆ์ ด้วย ที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินตามข้อกำหนด เป็นเหตุให้กรรมการสภามหาวิทยาลัยต่างพากันส่งสัญญาณ พร้อม “ไขก๊อก” ลาออกจากตำแหน่งกันเป็นทิวแถว โดยมีไม่น้อยกว่า 100 ราย ที่ไม่ประสงค์จะทำหน้าที่ต่อไป
หากเปิดงบประจำปีที่รัฐบาลอุดหนุนให้กับ สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา(สกอ.) ซึ่งดูแลสถาบันอุดมศึกษาภาครัฐ ซึ่งครอบคลุม มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล มหาวิทยาลัยราชภัฏ รวมถึง มหาวิทยาลัยสงฆ์ จะพบว่า แต่ละปีรัฐบาลมีงบอุดหนุนในการดำเนินการกว่า 1 แสนล้านบาท และ งบลงทุนอีกส่วนกว่า 1หมื่นล้านบาท โดยงบที่ดูเหมือนว่าจะเป็นช่องทางกลโกงคือ งบลงทุน เนื่องจากพบว่าบางสถาบันการศึกษาไม่ได้ใช้งบฯ ตามวัตถุประสงค์
ที่ผ่านมาการทุจริตในวงการศึกษา และวงการสงฆ์ มีข่าวเป็นกระแสให้เห็นบ่อยครั้ง แม้ว่าจะมีข้อมูล แต่ก็ยากที่จะเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการเอาผิดได้ เนื่องจากหลักฐานไม่เพียงพอ เพราะการกระทำเป็นขบวนการ
สิ่งที่ทำให้ ป.ป.ช. ยืนกรานว่าผู้ทำหน้าที่ในสภามหาวิทยาลัย มีความจำเป็นต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน แม้นายก และกรรมการสภามหาวิทยาลัย จะไม่มีหน้าที่โดยตรงในการใช้งบประมาณ แต่ก็มีอำนาจในการพิจารณาอนุมัติการกู้ยืมเงิน การตั้งงบประมาณรายรับรายจ่าย การอนุมัติจัดซื้อจัดจ้างวงเงินหลัก 50-100 ล้านบาท การแต่งตั้งถอดถอนบุคลากรมหาวิทยาลัย จึงพูดได้ไม่เต็มปากนัก ว่าไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์หรือเข้าไปมีส่วนได้เสียในการใช้งบประมาณ
ขณะที่วงการสงฆ์ ก็ร้อนระอุเช่นกัน เนื่องจากพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายรูปได้เข้าไปดำรงตำแหน่งในสภามหาวิทยาลัย รวมถึง สมเด็จพระสังฆราช ที่ทรงเป็นนายกสภาการศึกษา มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัยอยู่ด้วย จึงเข้าข่ายที่ต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งประเด็นชี้ ป.ป.ช. ได้ชี้แจงว่า ในส่วนพระสังฆราช ได้ยกเว้นไปแล้ว เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ถูกแต่งตั้ง และโปรดเกล้าฯ ทำให้เกิดข้อถกเถียงจากบรรดาพระเถระชั้นผู้ใหญ่ โดยระบุว่า ตำแหน่งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ ก็มาจากการโปรดเกล้าเช่นกัน ซึ่งในประเด็นนี้ ป.ป.ช.จะนำ พ.ร.บ.สงฆ์ฯ และ พ.ร.บ.มหาวิทยาลัยสงฆ์ฯ มาพิจารณาประกอบด้วยว่าจะดำเนินการอย่างไรให้สอดคล้องกันอย่างไร
เมื่อกระแสเสียงเรียกร้องต่อต้านเกิดขึ้น โดยหยิบยกผลกระทบต่อภาพรวมของสถาบันการศึกษา ประกอบกับประกาศร่างกฎหมายนี้ ไม่เคยมีการหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใดๆ มาเป็นเครื่องมือต่อรอง ก็เลยเป็นเผือกร้อนที่ถูกโยนไปถึง พลเอกประยุทธ์ จันโอชา นายกรัฐมนตรี ให้ออกแรงช่วย โดยส่งผ่านไปยังให้ วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ไปหารือเพื่อหาทางคลายปมปัญหา แต่ดูเหมือนไม่มีอะไรจะหยุดยั้งได้ เมื่อที่ประชุม ป.ป.ช. วันที่ 13 พ.ย.ที่ผ่านมา มีมติไม่ถอย ยังคงเดิมหน้า เพียงแค่ขยายเวลาการบังคับใช้ออกไปเป็น มกราคม ปี 2562 เท่านั้น
ศ.นพ.อุดม คชินทร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้ออกมาระบุว่า หน่วยงานการศึกษาเป็นหน่วยงานด้านวิชาการ ตำแหน่งนายกสภาฯ กรรมการสภาฯ มีหน้าที่เพียงควบคุมนโยบายของมหาวิทยาลัย ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเงิน ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้มาจากคนนอก หรือเป็นนักธุรกิจ เป็นผู้มีความรู้ เพื่อมาให้คำแนะนำมหาวิทยาลัย การต้องเสี่ยงในการตรวจสอบทรัพย์สินจะไม่คุ้ม และหาก
หากกรรมการสภาฯ ลาออกจำนวนมาก จะส่งผลให้ประชุมสภามหาวิทยาลัยไม่ได้ และกลายเป็นภาวะสุญญากาศในที่สุด
ขณะที่ ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทสไทย (ทปอ.) ให้ความเห็นว่า “การยื่นบัญชีทรัพย์สิน แม้จะเป็นการแสดงความบริสุทธิ์ใจ แต่ก็เป็นการสร้างภาระให้แก่ผู้ที่ต้องยื่นทรัพย์สินมากเกินควร หากยื่นบัญชีผิดพลาด แม้ไม่ได้เจตนาก็อาจมีโทษทางอาญาและถูกศาลพิพากษาจำคุกได้ จึงมีนายกและกรรมการสภาบางแห่ง ยื่นใบลาออก ซึ่งผลที่เกิดขึ้นคือทำให้กรรมการสภา ไม่ครบองค์ประชุม ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ส่งผลเสียต่อการบริหารงานในมหาวิทยาลัย และนิสิต นักศึกษา
แน่นอนว่าเมื่อมีฝ่ายค้าน ก็มีฝ่ายที่เห็นด้วย โดย รศ.วีรชัย พุทธวงศ์ เลขาธิการศูนย์ประสานงานบุคลากรในสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ CHES ให้เหตุผลว่า เมื่อมีกฎหมายออกมาต้องเเสดงความโปร่งใส เพราะเป็นตำเเหน่งที่เชิญให้เข้ามาทำหน้าที่ เเละโปรดเกล้าฯ จึงต้องปฏิบัติตามกฎหมาย จะละเว้นไม่ได้ และการอ้างว่า หากลาออกไปจำนวนมาก จะทำให้การบริหารงานสะดุดนั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะถึงเเม้จะเหลือกรรมการสภาเพียงครึ่งหนึ่งก็ยังทำงานได้ เเละหากกรรมการชุดเดิมลาออก การสรรหาคนใหม่ก็เกิดขึ้นได้ไม่ยาก การตรวจสอบทรัพย์สินเป็นสิ่งจำเป็น หากไม่พร้อมทำงานก็ลาออกไป
หากดูท่าทีของ ป.ป.ช. คงไม่มีคำว่า “ถอย” แน่นอนจากคำของ พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธาน ป.ป.ช. ยืนยันว่า ทุกคนต้องปฏิบัติตามข้อกฎหมาย เนื่องจากเป็นบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ 60 วันที่ ป.ป.ช.ขยายเวลาให้ ก็คงเป็นห้วงเวลาให้ได้คิด และตัดสินใจ ว่าบุคคลที่อยู่ตำแหน่งต่าง ๆ นั้นจะตัดสินใจ และแก้ปัญหาอย่างไร
การยืนกรานในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อตรวจสอบทรัพย์ในครั้งนี้…ดูแล้วเสมือนเป็นการล้างบาง “ทุจริตคอรัปชั่น” ในแวดวงมหาวิทยาลัย และวงการสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในสังคมไทยที่สะสมมานานเป็นทศวรรษ
ก็ต้องลุ้นว่า บทสรุปสุดท้ายจะจบอย่างไร