หลังจากชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง บุกจับ “นอสผับ” ย่านอ้อมน้อย จังหวัดสมุทรสาคร แม้สถานบริการแห่งนี้จะเปลี่ยนชื่อมาหลายครั้ง เปิดให้บริการมานานจนกลายเป็นตำนาน ซึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวจากรุ่นสู่รุ่นทราบกันดีว่า ที่นี่เป็น “ผับมีของ” ซึ่งจากผลการจับกุมครั้งล่าสุด พบการกระทำผิดทั้งปล่อยเยาวชนอายุต่ำกว่า 20 ปีใช้บริการ นักท่องเที่ยวมียาเสพติดในร่างกาย 123 คน พบยาเสพติดหลายชนิดทั้ง เคตามีน ยาไอซ์ และสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทจำนวนมาก เจ้าหน้าที่แจ้ง 6 ข้อหาหนักกับผู้ประกอบการไปแล้ว
การจับกุมของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครองในแต่ละครั้ง เป็นข่าวครึกโครม อีกนัยยะหนึ่งของข่าว นั่นถือเป็นการแจ้งเตือน ป้องปรามผู้ประกอบการที่ยังทำผิด ให้เลิกพฤติกรรม แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการที่ล้ำเส้นกฎหมาย ข้ามจุดอนุโลมของเจ้าหน้าที่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย แต่ดันทำผิดเสียเอง
“นายรัฐวิช จิตสุจริตวงศ์” หัวหน้ากลุ่มงานสืบสวนสอบสวนคดีอาญา 1 ส่วนการสอบสวนคดีอาญา สำนักการสอบสวนและนิติการ หนึ่งในมือปราบของชุดปฏิบัติการพิเศษกรมการปกครอง ได้โพสต์ข้อความส่งถึงผู้ประกอบการสถานบริการ ผ่านเฟสบุ๊ก “Ratawit Jitsujaritwong”
#เจ้าของสถานบริการกับความรับผิดชอบต่อสังคม!?
สังคมเดี๋ยวนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว ความรับผิดชอบต่อสังคมอยู่ที่ไหน สถานประกอบการถูกจับ ยาเสพติดเกลื่อนสถานที่ ตรวจปัสสาวะนักเที่ยวพบว่ามีสารเสพติดในร่างกายกว่าร้อยคน ผู้ประกอบการกลับออกมาปฏิเสธน่าตาเฉย อ้างไม่รู้ไม่เห็นว่ามีการเสพยา และยังออกมาตำหนิเจ้าหน้าที่ว่า มาจับกุมทำให้ร้านต้องปิดและพนักงานต้องเดือดร้อนตกงาน เฮ้ย! นอกจากเรื่องยาเสพติดแล้ว สถานประกอบการคุณยังปล่อยเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้ามาใช้บริการ และยังเปิดเกินกว่าเวลาที่กฎหมายกำหนดอีก เอาเปรียบสังคมขนาดนี้ ใช้ตรรกะอะไรคิดถึงออกมาพูดแบบนี้ได้ ได้คำนึงถึงสังคมโดยรวมบ้างไหม ว่ามันเสียหายจากการกระทำของคุณมากน้อยเพียงใด
สถานประกอบการกลางคืนทุกวันนี้ ผับ เทค คาราโอเกะ อาบอบนวด ฯลฯ ที่ทำอยู่ภายใต้กติกา คือ กฎหมาย ต้องยอมรับว่า มีอยู่ไม่มาก เพราะกฎหมายไทยเป็นประเภท “มือถือสากปากถือศีล” แปลว่าอะไร? แปลว่า ยอมรับโดยทั่วกันในทางปฏิบัติว่า “ให้ทำได้” แต่ในทางกฎหมายกลับ “ห้ามทำ” เช่น กฎหมายห้ามขายเหล้าเกินเที่ยงคืน แต่เราก็อนุโลมให้ร้านรวงต่างๆ ขายหลังเวลาเที่ยงคืนได้ หรือกฎหมายให้ผับเปิดได้ไม่เกิน 01.00 น. หรือ 02.00 น. แล้วแต่กรณี แต่ในสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญเราก็อนุโลมให้เปิดได้ถึง 03.00 น. หรือ 04.00 น. หรืออย่างอาบอบนวดกฎหมายห้ามค้าประเวณี แต่ใครๆ ก็รู้ว่าอาบอบนวดนั่นแหละ คือ สถานค้าประเวณี
เช่นนี้ เมื่อกฎหมายมันไม่สอดรับกับสภาพสังคมโดยรวม เจ้าหน้าที่ผู้บังคับใช้กฎหมายก็จำต้องบังคับใช้กฎหมายเท่าที่ทำได้ตามลักษณะของสภาพสังคมนั้นๆ ไป ถามว่ามันถูกต้องไหม? มันไม่ถูกต้องหรอก แต่จะทำไงได้ ก็วัฒนธรรมไทยมันเป็นอย่างนั้น และคนในสังคมก็ทำกันให้มันเป็นไปอย่างนั้น ถ้าจะโทษก็ต้องโทษพวกเราคนไทยทุกคน ดังนั้น สถานประกอบการส่วนใหญ่จึงปฏิบัติหรือประกอบธุรกิจอยู่ในจุดอนุโลม หรือจุดที่รู้กัน หรือจะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่คือ ถามว่าผิดกฎหมายไหม? ผิด! แต่ภาครัฐก็หลับตาข้างนึงให้
แต่!! ที่ผมจะพูด คือ แต่ก็ยังมีผู้ประกอบการอีกจำนวนไม่น้อย ที่แม้จะมีจุดรู้กันหรือจุดผ่อนผันที่เกินเลยกว่ากฎหมายแล้ว แต่ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ก็ยังคง “ไม่พอ” ยังประกอบกิจการเกินเลยไปอีก กล่าวคือ เลยเถิดไปเกินจุดที่สังคมจะรับได้แล้ว เช่น ร้านเหล้า ผับ เทค ฯลฯ ปล่อยให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 หรือ 20 ปี เข้าไปใช้บริการ หรือปล่อยปละให้มีเรื่องยาเสพติดเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือร้านคาราโอเกะ อาบอบนวด ฯลฯ เอาเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี มาค้าประเวณี เข้าข่ายเป็นการค้ามนุษย์ เป็นต้น
ผู้ประกอบการกลุ่มหลังนี้ ถือว่าเอาเปรียบสังคมเกินไป อย่างเด็กอายุไม่ถึง 20 ปี สถานประกอบการบางแห่งไม่สนใจเลย ปล่อยให้เข้าหน้าตาเฉย บางแห่งเก็บเงิน 100 บาท ท่านทราบไหมว่า ทำไมกฎหมายถึงห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้าสถานบริการ หรือห้ามจำหน่ายสุราให้แก่บุคคลอายุไม่เกิน 20 ปี เพราะอะไร? ผมเชื่อว่าทุกคนน่าจะทราบนะ… ก็เพราะคนวัยนี้ยังอยู่ในวัยเรียน ไม่มีรายได้ การดื่มสุราหรือเที่ยวสถานบริการ คือ สถานที่อโคจรของเยาวชน ส่งผลเสียต่อการเรียนและการเจริญเติบโต แต่ผู้ประกอบการพวกนี้ไม่เคยคิดถึงเรื่องเหล่านี้หรอก คิดแค่จะเอาเงิน 100 บาท แลกค่าเข้าเท่านั้นแหละ
เรื่องยาเสพติดคงไม่ต้องบอกนะว่า มันอันตรายและส่งผลเสียมากแค่ไหน เชื่อว่าทุกคนคงทราบดี ซึ่งยาเสพติดในสถานบริการทุกวันนี้ คือ เรื่องใหญ่มาก เพราะในยุคปัจจุบันนี้อาจเรียกได้ว่า “สถานบริการ คือ สถานที่แพร่ระบาดของยาเสพติด” เพราะผู้ประกอบการที่ไร้จรรยาบรรณพวกนี้แหละ ที่ค้าเอง! ไม่ค้าเองก็ยินยอมให้มีคนค้า ไม่ยินยอมให้คนค้าก็ปล่อยปละละเลยให้มีการค้า/เสพ จะอ้างว่าไม่รู้!? ท่านเชื่อไหมถามจริงๆ!? ที่ผู้ประกอบการจะไม่รู้ไม่เห็นเลย ร้านมีการ์ดเป็นสิบๆ คน พนักงาน แม่บ้าน คนสับเยี่ยว ฯลฯ บางแห่งมีวงจรปิดดูได้ทั่วบริเวณร้าน เจ้าของอ้างไม่รู้หน้าตาเฉย แต่นักเที่ยวอยู่ ตจว. เขายังรู้ว่า ที่นี่ “มีของ” บอกเลยว่า อมพระมาพูดก็ไม่เชื่อ!
การกระทำของผู้ประกอบการกลุ่มนี้ คือ สิ่งที่ภาครัฐเรารับไม่ได้อย่างเด็ดขาด ไม่มีการอนุโลม ผ่อนปรน หรือยกเว้นใดๆ ทั้งนั้น หลับตาให้ 2 ข้างคงไม่ได้ ฉะนั้น พบเจอเมื่อไหร่จับกุมและดำเนินคดีอย่างเฉียบขาดทุกราย เพราะถือว่าเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสังคมโดยตรง และก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศชาติโดยรวม ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ละโมบและขาดศีลธรรมเช่นนี้ เมื่อถูกตรวจพบจะต้องถูกจับกุมดำเนินคดีอย่างเฉียบขาด ถูกสั่งปิดจะมาร้องโอดโอยไม่ได้ อ้างว่าพนักงานจะตกงานไม่ได้ เมื่อไม่มีความรับผิดชอบต่อสังคม ทั้งเจ้าของและพนักงานนั่นแหละ ทำชั่วต้องได้ชั่วครับ นี่คือกฎแห่งกรรม กล้าทำก็ต้องกล้ารับสิ High risk high return.
สุดท้าย อยากจะให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้ตระหนักจริงๆ ว่า “สถานบริการ” ปัจจุบันนี้อันตรายกว่าสมัยเมื่อ 10 – 20 ปี ที่แล้วมาก ทั้งเรื่องยาเสพติด ทะเลาะวิวาท ล่วงละเมิดทางเพศ เมาแล้วขับ ฯลฯ ทั้งยังเป็นที่รวมของนักเลง อาชญากร และมิจฉาชีพอีกด้วย ดังนั้น ผมในฐานะที่เป็นผู้ปฏิบัติงานด้านนี้มาหลายปี จึงขอวิงวรพ่อแม่ผู้ปกครองได้โปรดดูแลบุตรหลานของท่านอย่างใกล้ชิดด้วย จะหวังพึ่งเพียงเจ้าหน้าที่อย่างเดียวก็อาจจะเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุแล้วก็ได้ ด้วยรักและห่วงใยอนาคตของชาติทุกคนจริงๆ ครับ ส่วนผู้ประกอบการ ผมเชื่อว่าท่านผู้ประกอบการทั้งหลายรู้อยู่แก่ใจแหละว่า อะไรทำได้ ไม่ได้ หรือทำได้มากน้อยแค่ไหนเพียงใด ความรับผิดชอบต่อสังคมของท่านนั่นแหละจะเป็นตัวตัดสินว่า ท่านจะได้รับผลอย่างไร กินน้อยๆ กินนานๆ เชื่อผมสิ Win – Win ด้วยกัน ทั้งผู้ประกอบการและสังคม”
3 ข้อที่ต้องบอกกับผู้ประกอบการว่า ขอได้ไหม ?
ในสถานบริการของท่าน
“ไม่มีเด็ก ไม่มียา ปลอดอาวุธ” เท่านี้ท่านอยู่รอด สังคมอยู่ได้ สังคมดีต้องสร้างร่วมกัน