การถกเถียงถึงคดีการอุ้มบุญกว่า 3 ปีที่ผ่านมา ว่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องค้ามนุษย์และขัดต่อศีลธรรมหรือไม่นั้น ล่าสุดในวันนี้ ศาลได้สั่งให้พ่อชาวญี่ปุ่นเป็นพ่ออุ้มบุญลูกทั้ง 13 คนได้ โดยไม่ผิดกฎหมาย และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องค้ามนุษย์แต่อย่างใด
ศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง อ่านคำสั่งในคดี 9 สำนวน ที่นายมิตซูโตกิ ชิเกตะ นักธุรกิจสัญชาติญี่ปุ่น ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งว่า ผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ซึ่งเกิดจากการตั้งครรภ์แทน หรือ แม่อุ้มบุญเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ร้อง ตามบทเฉพาะกาลในมาตรา 56 แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองเด็กที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 โดยศาลมีคำสั่งให้รวมพิจารณาเป็นคดีเดียวกัน
โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของผู้ร้องประกอบรายงานของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานครแล้ว ได้ความว่า ผู้ร้องไม่มีภรรยา แต่เป็นผู้ดำเนินการให้มีการตั้งครรภ์แทนตั้งแต่ปี 2556 โดยใช้เชื้ออสุจิของผู้ร้องปฏิสนธิกับไข่ของผู้บริจาคแล้วนำไปใส่ในโพรงมดลูกของหญิงไทยผู้รับตั้งครรภ์แทนจำนวน 9 คน จนคลอดผู้เยาว์รวม 13 คน เมื่อปี 2557 อันเป็นเวลาก่อนวันที่พระราชบัญญัติคุ้มครองเด็ก ที่เกิดโดยอาศัยเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ทางการแพทย์ พ.ศ. 2558 มีผลใช้บังคับ ดังนั้น จึงมีคำสั่งว่า ผู้เยาว์ทั้ง 13 คนเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย ของผู้ร้องนับแต่วันที่ผู้เยาว์ทั้ง13 คนเกิด และให้ผู้ร้องเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองผู้เยาว์ทั้งสิบสามคนแต่เพียงฝ่ายเดียว
นายก้อง สุริยมณฑล ทนายความของนายมิตซูโตกิ ได้เปิดเผยว่า นอกจากศาลจะมีคำสั่งให้นายมิตซูโตกิเป็นพ่ออุ้มบุญที่ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ยังมีคำสั่งว่า พฤติกรรมของนายมิตซูโตกิไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์แต่อย่างใด
อย่างไรก็ตาม ในวันนี้ นายมิตซูโตกิไม่ได้เดินทางมาฟังคำสั่งศาลด้วยตัวเอง ส่งเพียงทนายความเข้ารับทราบ ขณะเดียวกัน หลังคำสั่งศาลออกมาแล้ว ทางทนายความจะเร่งประสานไปยังกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการส่งผู้เยาว์ทั้ง 13 คน ให้กับนายมิตซูโตกิที่ประเทศญี่ปุ่นต่อไป