การขยายผลคดีดังอย่างค้ามนุษย์ ที่มีผู้ต้องหารายสำคัญอย่างเสี่ยกำพล เจ้าของอาบอบนวดวิคตอเรียซีเคร็ทที่กำลังหลบหนีอยู่ในขณะนี้ ยังคงเป็นประเด็นที่สังคมให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะหลังจากดีเอสไอตรวจพบเส้นทางการเงินเชื่อมโยงกับเจ้าหน้าที่รัฐหลายคน หนึ่งในนั้น คือ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่เคยยืมเสี่ยกำพลถึง 300 ล้านบาท ล่าสุด ในวันนี้ พลตำรวจเอกสมยศได้เดินทางเข้าให้ปากคำต่อดีเอสไอแล้ว
พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางเข้าให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส หลังมีหมายเรียกเข้าให้ข้อมูลการยืมเงิน 300 ล้านบาท จากเสี่ยกำพล วิระเทพสุภรณ์ เจ้าของสถานอาบอบนวดวิคตอเรียซีเคร็ท ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ที่หลบหนีหมายจับอยู่ในขณะนี้
พันตำรวจโทสุภัทร์ ธรรมธนารักษ์ ผู้อำนวยการกองคดีต่อต้านการค้ามนุษย์ ดีเอสไอ เปิดเผยว่า พนักงานสอบสวนได้ส่งหนังสือแจ้งไปยังพลตำรวจเอกสมยศ เพื่อเข้าให้ข้อมูลในวันนี้ โดยกำหนดประเด็นให้ชี้แจงถึงที่มาของเงินจำนวน300 ล้านบาท ตามหลักฐานที่ดีเอสไอตรวจพบความเชื่อมโยงจากการทำธุรกรรมทางการเงิน รวมถึงการแถลงข่าวการยืมเงิน 300 ล้านบาท จากเสียกำพลด้วย นอกจากนี้ ดีเอสไอ ต้องการทราบว่า เงินจำนวนดังกล่าวมีความเกี่ยวข้องกับสถานอาบอบนวด วิคตอเรียซีเคร็ท หรือไม่
ทั้งนี้ พลตำรวจเอกสมยศ เคยให้สัมภาษณ์ว่า ได้รู้จักกับนายกำพลมากว่า 20 ปี จากการแนะนำของกลุ่มเพื่อน และเคยยืมเงินในช่วงที่เดือดร้อนหลายครั้ง รวมแล้วกว่า 300 ล้านบาท โดยการทำธุรกรรมทางการเงินดังกล่าวนั้น เป็นการโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารของนายกำพล เข้าบัญชีของตนเองอย่างชัดเจน และขณะนี้ก็ได้คืนเงินทั้งหมดไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งทุกฝ่ายสามารถตรวจสอบได้ เนื่องจากมีเอกสารชัดเจน
อย่างไรก็ตาม นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นหนังสือถึงประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ขอให้ตรวจสอบพลตำรวจเอกสมยศ ในฐานะสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ว่ามีการแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินต่อ ป.ป.ช. จากเงินกู้ยืม 300 ล้านบาท ถูกต้องตามกฎหมาย ป.ป.ช. หรือไม่ และหากยืมเงินโดยไม่เสียดอกเบี้ย จะเข้าข่ายได้รับผลประโยชน์อื่นใด ตามมาตรา 103 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 และมีโทษตามมาตรา 122 ซึ่งระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ ยังขอยื่นเรื่องให้กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบ ในประเด็นภาษีจากเงินกู้ยืมก้อนนี้อีกด้วย