จากเหตุการณ์ช่วยเหลือชีวิต 13 ชีวิตติดถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน อ.แม่สาย จ.เชียงราย ได้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักต่อนักข่าวภาคสนาม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย จึงตั้งวง “ถอดบทเรียนการทำข่าวถ้ำหลวง” เพื่อทบทวน และกู้วิกฤตหวังไม่ให้เหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้อีก
การใช้โดรนบิน ในคืนวันที่นำหมูป่า 4 ตัวออกแรกมาจากถ้ำเพื่อส่งไปที่โรงพยาบาล แต่กลับมีบางสื่อพยายามใช้เทคโนโลยีเข้ามาเพื่อถ่ายทำ หวังให้ได้มุมภาพที่ดีที่สุด จนเกิดเสียงวิจารณ์ว่า เหมาะสมหรือไม่ ทั้งๆที่ไม่ได้รับอนุญาตและเสี่ยงต่อความมั่นคง หรือกรณีการเปิดเผยรายชื่อทีมหมูป่าที่ออกมาชุดแรก ทั้งหมดถูกตั้งคำถามว่า เป็นการกระทำที่ล้ำเส้น เกินกติกา ไม่เคารพกรอบกฎหมายที่บังคับในพื้นที่ภัยพิบัติ รวมถึงพบการละเมิดจริยธรรม และขาดความเป็นมืออาชีพ
ด้านอาจารย์ วรัชญ์ ชี้ว่า สื่อยังขาดความเข้าใจต่อความเปลี่ยนแปลงและความต้องการรับรู้ข่าวสารของผู้บริโภคในภาวะวิกฤต แม้ประชาชนต้องการรู้ข่าวสารรวดเร็ว แต่ต้องถูกต้องและไม่ละเมิดสิทธิของเยาวชน เพราะประชาชนอ่อนไหวต่อประเด็นทางจริยธรรมสูง ทำให้เห็นปรากฎการณ์ที่สื่อมวลชนถูกจับผิด
ขณะที่ อุปนายกสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ ยอมรับว่า สื่อออนไลน์กรณีถ้ำหลวง พบข้อมูลที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจำนวนมาก ทำให้ถึงเวลาที่ต้องร่วมถอดบทเรียน และวางกติกาที่เกี่ยวกับการจัดการรูปแบบการทำงาน ทั้งสื่อกระแสหลักที่อยู่ในพื้นที่ ที่ต้องเช็คข้อมูล รวมถึงสื่อออนไลน์ที่เผยแพร่ข้อมูล
ทั้งนี้ตัวแทนจากสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ที่ระบุว่า ความคาดหวังของ “ประชาชน” กับ “บทบาทสื่อมวลชน” ในครั้งนี้ เปลี่ยนไป ทำให้เกิดแรงต่อต้าน เพราะต้องการเห็นความสำเร็จของภารกิจนี้มากกว่าเสพข่าว ที่เน้นการเจาะแบบไม่คำนึงถึงอะไร
อย่างไรก็ตามในวงเสวนาก็ได้ข้อสรุปว่า จากข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้นต้องเร่งแก้ไข และทำให้เป็นมืออาชีพแท้จริง ที่สำคัญต้องสร้างมาตรฐาน ก่อนส่งนักข่าวทำงานในพื้นที่ ทั้งองค์ความรู้ ในด้านที่เกียวกับการทำงานในสถานการณ์วิฤต และกองบรรณาธิการฯ ต้องทำงานให้หนัก เพื่อกำหนดทิศทางการนำเสนอข่าวที่มีคุณภาพ สร้างสรรค์ และเป็นประโยชน์กับสังคมอย่างแท้จริง