หนุ่มใหญ่เมืองผู้ดีร้องสื่อ ลงทุนทำธุรกิจร้านอาหารถูกเพื่อนร่วมชาติโกงเงินกว่า 6.5 ล้าน
1 มี.ค.60 น.ส.สิริยากร วงษ์ชมภู อายุ 39 ปี พา มร.ลี สตรัท สามีซึ่งเป็นนักธุรกิจสัญชาติอังกฤษ เข้าร้องเรียนต่อสื่อมวลชนให้ช่วยติดตามคดีฉ้อโกงทรัพย์หลังถูกเพื่อนร่วมชาติฉ้อโกงเงินไปจำนวน 6.5 ล้านบาท แต่พบว่าคดีดังกล่าวซึ่งแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวน สภ.เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ไปตั้งแต่เดือน ธ.ค.57 หรือผ่านมานานกว่า 2 ปี แต่จนถึงปัจจุบันพบว่าคดีไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด กระทั่งอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องได้เพราะสำนวนขาดผลัดฟ้อง จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมให้หน่วย งานที่เกี่ยวข้องเข้าช่วยเหลือ
มร.ลี เปิดเผยว่า ก่อนหน้านี้ประกอบอาชีพเป็นพนักงานขับรถให้กับนายธนาคารใหญ่ในประเทศอังกฤษ ต่อมาได้เดินทางมาเที่ยวที่เมืองพัทยา และได้ไปรู้จักกับ นายเดวิด เพื่อนร่วมชาติเดียวกัน ซึ่งขณะนั้น นายเดวิด ประกอบอาชีพเปิดร้านอาหารที่เมืองพัทยา โดยจากการพูดคุย นายเดวิด ได้ชักชวนให้มาลง ทุนเปิดธุรกิจร้านอาหารที่เมืองพัทยาบ้าง ด้วยความสนใจจึงมอบหมายให้ นายเดวิด ไปดำเนินการเรื่องของการจัดเตรียมความพร้อม กระทั่งได้รับการประสานว่าให้โอนเงินจำนวน 6.5 ล้านบาท มาเพื่อจัดตั้งบริษัทและทำสัญญาเช่าเซ้งกิจการร้านอาหารขนาด 3 คูหา ภายใน ซ.ไดอะน่าอินน์ พัทยากลาง ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี จากนั้นจึงโอนเงินผ่านธนาคารให้กับ นายเดวิด ด้วยความเชื่อใจตั้งแต่ปี 2555
มร.ลี เล่าต่อไปว่า ต่อมาได้เดินทางมาจากประเทศอังกฤษเพื่อมาพบกับ นายเดวิด จากนั้นก็พากันไปจดแจ้งบริษัทขึ้น โดยมีตนเองเป็นกรรมการบริหารเพราะเป็นผู้ลงทุนเพียงคนเดียว พร้อมเพื่อนชาวต่าง ชาติอีกหลายคนที่เข้ามาร่วมถือหุ้นด้วยแต่ทั้งหมดไม่ได้ลงเงินสด โดยได้รับแจ้งว่าทั้งหมดมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการประกอบธุรกิจที่เมืองพัทยาและด้วยความไว้วางใจจึงตอบตกลง กระทั่งทำสัญญากับเจ้าของร้านอาหารเดิมแล้วเสร็จจึงเข้ามาบริหารงานร้านเรื่อยมา ซึ่งพบว่ากิจการผ่านไปด้วยดีมีลูกค้าและรายได้เป็นจำนวนมาก แต่ต่อมาได้มอบหมายให้ น.ส.สิริยากร ภรรยา เข้ามาดูแลเรื่องบัญชี เนื่องจากเห็นว่าระบบบัญชีมีปัญหาข้อบกพร่อง ซึ่งช่วงนั้นหุ้นส่วนทั้งหลายต่างไม่พอใจ และสุดท้ายก็มีการจัดประชุมหุ้นและลงมติให้ นายสตีเฟ่น เข้ามาบริหารแทน
เมื่อเหตุการณ์เป็นเช่นนี้จึงเข้าตรวจสอบเรื่องของเอกสารการจัดตั้งบริษัท กลับพบว่ามีการถ่ายโอนชื่อหุ้นส่วนภายใน ซึ่งทราบภายหลังว่ามีการนำเอกสารเป็นภาษาไทยมาให้เซ็นต์ยินยอม โดยหลอกว่าเป็นการจัดทำประกันสังคมให้กับพนักงาน อีกทั้งบริษัทที่จัดตั้งก็เป็นบริษัทเก่าที่เปิดไว้แต่เดิมแล้ว จึงสืบทราบว่าถูกหลอกให้นำเงินมาลงทุน สุดท้ายจึงตัดสินใจเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแต่เดือน ธ.ค.57 เพื่อหวังร้องขอเงินลงทุนคืน แต่กลุ่มหุ้นส่วนไม่ยินยอมและให้ไปฟ้องร้องเอาเอง
มร.ลี กล่าวอีกว่า คดีนี้ผ่านมานานกว่า 2 ปี ติดตามเรื่องมาโดยตลอด กระทั่งผลัดเปลี่ยนพนักงานสอบสวนมาแล้วถึง 4 นายแต่คดีก็ยังไม่มีความคืบหน้า จนมีการร้องเรียนผ่านหลายหน่วยงาน จนต่อมาก็มีการส่งสำนวนฟ้องร้องต่ออัยการ แต่ก็ปรากฏว่าทางอัยการไม่สามารถสั่งฟ้องได้เพราะแจ้งว่าสำนวนคดีขาดผลัดฟ้องไปแล้ว จึงจำเป็นต้องไปขออนุญาตจากทางอัยการสูงสุดซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะใช้ระยะเวลาเท่าใด ขณะที่คู่กรณีบางคนก็เดินทางออกนอกราชอาณาจักรไปแล้วและยังมีการข่มขู่คุกคามโดยตลอด จึงอยากร้องขอความเป็นธรรมให้สื่อมวลชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้เข้ามาดูแลและช่วยเหลือด้วย เพราะเกรงว่าคดีจะล่าช้าและไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก