อภ.เปลี่ยนมาหนุนปลูก “กัญชง” แทน “กัญชา” เผย UN เตรียมปลดล็อกสาร CBD ออกจากยาเสพติดใน 2-3 เดือนนี้ ระบุไม่มีฤทธิ์ต่อจิตประสาทและสามารถใช้ประโยชน์ได้เยอะ แนวโน้มตลาดโลกต้องการสูง
นพ.โสภณ เมฆธน ประธานกรรมการองค์การเภสัชกรรม (บอร์ด อภ.) กล่าวถึงแนวคิดให้เกษตรกรปลูกกัญชาว่า หากให้ชาวไร่ปลูกอยากให้ปลูก “กัญชง” เพื่อใช้สาร CBD มากกว่า ตามแนวโน้มตลาดโลกเพราะสามารถนำไปใส่หรือผสมในผลิตภัณฑ์ได้ได้หลายอย่าง ขณะที่กัญชาไทยมีสาร THC สูง สาร CBD น้อย และเสี่ยงต่อการนำไปเสพ จึงคิดว่าควรจะปลดล็อกให้ปลูกกัญชง เพียงแต่สายพันธุ์กัญชงกับพื้นที่ที่จะปลูกนั้นต้องศึกษาวิจัย เช่น ดินแหล่งไหนปลูกแล้วจะได้ CBD มาก หรือดินที่ไหนไม่มีโลหะหนัก เพราะการปลูกกัญชงต้องปลูกให้ได้สาร CBD สูง และสาร THC น้อย
ผศ.ดร.วิเชียร กีรตินิจกาล อาจารย์คณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในฐานะผู้วิจัยพัฒนาสายพันธุ์กัญชาทางการแพทย์ให้แก่ อภ. กล่าวว่า ทั่วโลกแยกกัญชงกับกัญชา โดยพิจารราจากสาร THC สำหรับประเทศไทยกำหนดให้กัญชงต้องมีสาร THC ไม่เกิน 1% สหรัฐอเมริกาไม่เกิน 0.3% ยุโรปไม่เกิน 0.2% สวิตเซอร์แลนด์ไม่เกิน 1% อิตาลีไม่เกิน 0.6% ออสเตรเลียแล้วแต่รัฐ เช่น บางรัฐไม่เกิน 1% บางรัฐไม่เกิน 0.3% แต่หากต้องการผลิตสาร CBD เพื่อส่งออกตามที่ทั่วโลกต้องการ ต้องมีสาร THC ต่ำกว่า 0.3% และประเทศไทยอาจจะต้องแก้กฎระเบียบให้ THC ต่ำกว่า 0.3% และต้องไม่มีโลหะหนักด้วย ถ้ามากกว่านี้จะถือว่าเป็นกัญชา ซึ่งจะติดปัญหายาเสพติด เพราะ THC ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ส่วน CBD ไม่ออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท
“ล่าสุดสหประชาชาติ (UN) เตรียมจะปลดล็อกสาร CBD ออกจากสารเสพติด โดยเมื่อเดือนที่แล้ว นายวิโรจน์ สุ่มใหญ่ สมาชิกคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดระหว่างประเทศ ยูเอ็น ได้ประชุมร่วมกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) แจ้งว่า 2-3 เดือนนี้ ยูเอ็นจะพิจารณาเรื่องการปลดล็อก CBD ออกจากสารเสพติด ซึ่งไทยอยู่ในประเทศสมาชิกก็ต้องปฏิบัติตามในไม่ช้า ซึ่งในต่างประเทศ สาร CBD เป็นอาหารเสริม ผสมทั้งในเครื่องดื่ม อาหารสุนัข เครื่องสำอาง ถือว่าตลาดใหญ่มาก โดยการปลูกกัญชงมี 3 ประเภท คือ 1. กัญชงไฟเบอร์ที่เน้นเอาเยื่อใย 2. กัญชงซีดเฮมพ์ (Seed Hemp) เพื่อเอาเมล็ด เพราะมีน้ำมันโอเมกา 3 และโอเมกา 6 ซึ่งมีประโยชน์ และ 3. กัญชง CBD สูง”ผศ.ดร.วิเชียร กล่าว