สถานการณ์น้ำท่วมโดยเฉพาะที่เขื่อนแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ระดับน้ำล้นสปิลเวย์ ระดับน้ำเกินความจุอ่างจนล้นสปิลเวย์มากกว่า 1 เมตร และไหลลงสู่แม่น้ำเพชรบุรีเชี่ยวกราก ทำให้บ้านเรือนประชาชนและสถานประกอบการรีสอร์ทต่างๆ ที่อยู่ท้ายเขื่อนได้รับผลกระทบอย่างหนัก
สภาพบ้านเรือนประชาชนและรีสอร์ทในพื้นที่ท้ายเขื่อนแก่งกระจานได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากน้ำที่ระบายจากเขื่อนแก่งกระจานไหลลงแม่น้ำเพชรบุรีอย่างเชี่ยวกรากถูกน้ำและเศษไม้พัดเข้าใส่อาคารที่ติดริมน้ำพังเสียหายแล้วหลายหลัง เช่นที่ บริเวณอิงน้ำรีสอร์ท ต.แก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน รีสอร์ทที่ตั้งอยู่ท้ายเขื่อนอยู่ริมแม่น้ำเพชรบุรี มวลน้ำมหาศาลไหลทะลักเข้าท่วมสูงกว่า 3 เมตร บ้าน 2 ชั้นได้รับความเสียหายหลายหลังจนทรัพย์สินพังได้รับความเสียหายจำนวนมาก บางจุดน้ำไหลแรงพัดบ้านล้มลงไปในน้ำ เจ้าหน้าที่ทหารจากมณฑลทหารบกที่ 15 และส่วนราชการที่เกี่ยวข้องได้เกาะติดและประเมินสถานการณ์กันอย่างใกล้ชิด เพื่อให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนผู้ประสบอุทกภัยได้อย่างทันท่วงที
ส่วนพื้นที่บ้านวังนางนวล บ้านถ้ำเสือ ต.แก่งกระจาน รถเล็กไม่สามารถวิ่งผ่านได้เนื่องจากถนนขาดต้องใช้เรือในการเข้าออก ขณะที่ ต.กลัดหลวง และ ต.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง พื้นที่การเกษตรและรีสอร์ทริมน้ำ น้ำท่วมสูงขึ้นจากเดิมประมาณ 50 เซนติเมตร นอกจากนี้ยังมีดินถล่มขวางเส้นทางถนนสายบ้านกร่าง-พะเนินทุ่ง อำเภอแก่งกระจาน บริเวณกิโลเมตร ที่ 18 เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างเคลียร์เส้นทาง แต่ไม่กระทบต่อการท่องเที่ยวเนื่องจากอยู่ช่วงปิดพักท่องเที่ยว 3 เดือน เจ้าหน้าที่สามารถสัญจรด้วยรถจักรยานยนต์เท่านั้น
สำหรับปริมาณน้ำเขื่อนแก่งกระจาน ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา อยู่ที่ 775.5 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือ 109.2 เปอร์เซ็นต์ ของความจุเขื่อน มีน้ำไหลลงเขื่อน 31.68 ล้านลูกบาศก์เมตร เปิดระบายน้ำล้นผ่านสปิลเวย์ออกท้ายเขื่อน ลงแม่น้ำเพชรบุรีในอัตรา 23.5 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน ส่วนเขื่อนเพชร เปิดระบายน้ำลงแม่น้ำเพชรบุรี 11.43 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อวัน และเปิดน้ำเข้าคลองส่งน้ำสายใหญ่ 4 สาย สายละ 97.04 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที รวมทั้งสิ้น 229.41 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที และจากการที่เขื่อนเพชรปล่อยน้ำออกท้ายเขื่อน ทำให้น้ำเต็มตลิ่งแม่น้ำเพชรบุรี ตั้งแต่ อ.ท่ายาง, บ้านลาด, เมืองเพชรบุรี และ อ.บ้านแหลม แต่ยังไม่มีผลกระทบกับชุมชน โดยเฉพาะในเขตเทศบาลเมืองเพชรบุรียังควบคุมสถานการณ์ได้
ทางด้าน นายณัฐวุฒิ เพ็ชรพรหมศร รองผู้ว่าราชการ จ.เพชรบุรี ออกมายืนยันว่า จ.เพชรบุรี บริหารจัดการน้ำ 100 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ไม่มีการหน่วงน้ำอย่างที่เป็นข่าวลือ ขณะเดียวกันมีรายงานว่า น้ำเข้าท่วมพื้นที่ทางการเกษตรใน ต.กลัดหลวง และ ต.ท่าไม้รวก อ.ท่ายาง เกษตรกรบางรายไม่ได้รับการช่วยเหลือนั้น นายอำเภอท่ายาง ชี้แจงว่าเกษตรกรที่ได้ลงทะเบียนเกษตรกรกับทางสำนักงานเกษตรไว้ ทางเกษตรอำเภอจะสำรวจความเสียหายเพื่อให้ค่าชดเชยตามความเสียหายต่อไป
เขื่อนปราณบุรียังรับมือน้ำท่วมได้
ส่วนสถานการณ์น้ำพื้นที่ อ.ปราณบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ ยังไม่น่าเป็นห่วง โดยปริมาณน้ำที่เขื่อนปรานบุรี อยู่ที่ 84% ของความจุอ่าง ยังรับปริมาณน้ำที่ไหลเข้ามาจากเขื่อนตะนาวศรีได้อีกกว่า 60 ล้าน ลบ.ม. แต่สำหรับอ่างเก็บน้ำยางชุม ในพื้นที่ ต.หาดขาม อ.กุยบุรี ขณะนี้น้ำได้ล้นสปิลเวย์ที่ความจุกว่า 42 ล้าน ลบ.ม. หรือ 102% ของความจุอ่าง มีไร่นาประชาชนในพื้นที่ ต.สามกระทาย อ.กุยบุรี ได้รับความเสียหายไปแล้วนับพันไร่ ซึ่งทางด้าน นายกิตติกรณ์ เทพอยู่อำนวย หัวหน้าสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.ประจวบคีรีขันธ์ บอกว่า ทางจังหวัดเฝ้าติดตามสถานการณ์น้ำในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยจากการลงพื้นที่พบว่ามีปัญหาในเรื่องของการระบายน้ำที่ท่วมขัง เนื่องจากการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ ที่มีการใส่ท่อลอดขนาด 60 ซม. จำนวน 2 ท่อ แทนอุโมงค์ระบายน้ำเดิมในช่วงที่มีการก่อสร้าง จึงขอความร่วมมือผู้รับเหมาโครงการเพื่อขอเจาะทางเปิดทางเร่งระบายน้ำเพื่อบรรเทาผลกระทบของประชาชนไปก่อน อีกทั้งยังได้แจ้งเตือนประชาชนในพื้นที่ ม.3 ติดต่อ ม.10 ต.สามกระทาย อ.กุยบุรี บ้านวังยาว (หลังวัดวังยาว) ม.1 ต.กุยบุรี ให้เตรียมขนของขึ้นที่สูง แต่ยังไม่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำในแม่น้ำกุยบุรี
น้ำโขงนครพนมเพิ่มอีก เฝ้าระวังเอ่อท่วมซ้ำ
ขณธที่สถานการณ์พื้นที่จังหวัดริมแม่น้ำโขง โดยเฉพาะที่ จ.นครพนม ระดับน้ำยังเพิ่มต่อเนื่องในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา ประมาณ 10-15 เซนติเมตร ล่าสุดจ่อวิกฤติอยู่ที่ประมาณ 11.55 เมตร ห่างจากจุดวิกฤติล้นตลิ่ง ประมาณ 1.45 เมตร แต่ยังคงเกิดปัญหาเรื่องการระบายน้ำลงน้ำสาขาได้ช้า ทำให้บางพื้นที่ติดกับลำน้ำอูน ลำน้ำสงคราม และลำน้ำก่ำ เข้าท่วมบ้านเรือนและพื้นที่การเกษตร โดยจากการสรุปข้อมูลล่าสุดของสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จ.นครพนม พบว่า มีพื้นที่ประกาศประสบภัยพิบัติน้ำท่วมทั้งจังหวัด รวม 12 อำเภอ 94 ตำบล ประชาชนได้รับความเสียหายกว่า 5 หมื่น 1 พันคน และพื้นที่การเกษตรเสียหายมีถนนได้รับความเสียหาย กว่า 111 สาย และมีพื้นที่การเกษตรกระทบเกือบ 2 แสนไร่ อยู่ระหว่างการสำรวจเร่งการช่วยเหลือตามระเบียบทางราชการ
อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดยังคงประกาศเตือนให้ประชาชน เฝ้าระวังน้ำโขงเอ่อท่วมซ้ำอีกรอบสอง เนื่องจากยังมีปริมาณสูงจ่อวิกฤติ โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงติดน้ำโขง 4 อำเภอ รวมถึงลำน้ำสาขาเตรียมจัดเก็บสิ่งของและอพยพสัตว์เลี้ยงขึ้นที่ สูง หากมีฝนตกหนักลงมาซ้ำอีก พร้อมประสานทางชลประทานเร่งทำการผันน้ำจากลำน้ำสาขาลงสู่แม่น้ำโขงให้มากที่สุด
กรมชลประทาน สั่งเฝ้าระวังน้ำในแม่น้ำยม
ทางด้าน นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน ระบุว่า ฝนที่ตกหนักใน จ.แพร่ จากอิทธิพลของพายุ “เบบินคา” ทำให้ระดับน้ำในแม่น้ำยมเพิ่มสูงขึ้น โดยปริมาณน้ำสูงสุดมาถึง อ.เมือง จ.แพร่ ด้วยอัตรา 900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ก่อนจะไหลผ่าน อ.วังชิ้น และ จ.แพร่ และ อ.ศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย ด้วยอัตราสูงสุดที่ 850 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ในเวลาตี 1 ของวันที่ 22 ส.ค. นี้ ทั้งนี้ กรมชลประทาน ได้เตรียมลดระดับน้ำหน้าประตูระบายน้ำหาดสะพานจันทร์ อ.สวรรคโลก จ.สุโขทัย ให้อยู่ระดับต่ำสุด รองรับน้้ำเพิ่มได้ 8-10 ล้านลูกบาศก์เมตร พร่องน้ำแก้มลิงทุ่งแสลงหลวง อ.นครไทย จ.พิษณุโลก ให้อยู่ระดับต่ำสุดและรองรับน้ำได้ 25 ล้านลูกบาศก์เมตร และให้กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของน้ำในคลองยม-น่าน รวมทั้งแม่น้ำยมสายเก่า
ขณะเดียวกัน กรมชลประทาน เตรียมใช้ทุ่งบางระกำนำน้ำเข้าไปพัก ตามโครงการบางระกำโมเดล จ.พิษณุโลก เป็นที่รับน้ำ ซึ่งจากการสำรวจพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 382,000 ไร่ เก็บเกี่ยวผลผลิตทางการเกษตรไปแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 10 เปอร์เซ็นต์ เป็นที่ดอนจะไม่ได้รับผลกระทบ ส่วนแก้มลิงบึงขี้แร้ง บึงระมาน และบึงตะเคร็ง จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำเฉลี่ย 50 เปอร์เซ็นต์ ของความจุรวมทั้งหมด สามารถรองรับน้ำได้อีก 16 ล้านลูกบาศก์เมตร
จ.สุโขทัย เตือนเฝ้าระวังรับมือน้ำเหนือ 22 ส.ค.นี้
นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการ จ.สุโขทัย เปิดเผยว่า จังหวัดสุโขทัยได้ติดตามสถานการณ์ฝนตกหนักจากอิทธิพลพายุเบบินคาอย่างต่อเนื่อง และประกาศเตือนประชาชนผ่านหน่วยงานทุกพื้นที่และสื่อทุกแขนง เตรียมความพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรับมือกับน้ำล้นตลิ่ง และน้ำท่วมฉับพลันระหว่างวันที่ 19-24 สิงหาคมนี้ โดยเฉพาะ 22 สิงหาคม คาดว่ามวลน้ำจาก จ.แพร่ จะไหลเข้า จ.สุโขทัย และมีการพร่องน้ำในแม่น้ำยมตลอดสายไว้แล้วพร้อมปฏิบัติตามแผนของป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 100 เปอร์เซ็นต์ จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยจะมีการลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามสถานการณ์ทุกอำเภอในช่วงวันที่ 20-23 สิงหาคมนี้