หลังจาก นายปัญญา ยิ่งดัง หรือเสี่ยอ้วน หัวหน้าทีมฆ่า น.ส.ปวีณา นาเมืองรักษ์ หรือน้องสปาย และ นายอนันตชัย จริตรัมย์ หรือน้องฟอส ไปนั่งให้ปากคำเบื้องต้นแก่ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ จเรตำรวจแห่งชาติ ที่เดินทางไปรับตัวยังประเทศกัมพูชา หลังเสี่ยอ้วน ถูกคุมตัวฐานหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งบางช่วงบางตอน เสี่ยอ้วน อ้างว่า
“ผมเห็นภาพทั้งสองคนอยู่ด้วยกัน แล้วทำใจยอมรับไม่ได้ ผมโดนหลอกมาตลอด จึงสั่งลูกน้องยิงน้องสปายและผมชักปืนยิงใส่น้องฟอสแต่กระสุนเข้าแค่นัดเดียวฟอสยังไม่ตาย จึงสั่งลูกน้องยิงซ้ำ”
ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ความผิดฐาน ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ระบุไว้ว่า
มาตรา 289 ผู้ใด (1) ฆ่าบุพการี (2) ฆ่าเจ้าพนักงาน ซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่จะกระทำ หรือได้กระทำการตามหน้าที่ (3) ฆ่าผู้ช่วยเหลือเจ้าพนักงาน ในการที่เจ้าพนักงานนั้นกระทำตามหน้าที่ หรือเพราะเหตุที่บุคคลนั้นจะช่วยหรือได้ช่วยเจ้าพนักงานดังกล่าวแล้ว (4) ฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน (5) ฆ่าผู้อื่นโดยทรมานหรือโดยกระทำทารุณโหดร้าย (6) ฆ่าผู้อื่นเพื่อตระเตรียมการ หรือเพื่อความสะดวกในการที่จะกระทำความผิดอย่างอื่น หรือ (7) ฆ่าผู้อื่นเพื่อจะเอา หรือเอาไว้ซึ่งผลประโยชน์อันเกิดแต่การที่ตนได้กระทำความผิดอื่น เพื่อปกปิดความผิดอื่นของตน หรือเพื่อหลีกเลี่ยงให้พ้นอาญาในความผิดอื่นที่ตนได้กระทำไว้ ต้องระวางโทษประหารชีวิต
หากแต่คำให้การอ้างของเสี่ยอ้วน ว่า บาดใจจึงระเบิดอารมณ์ อาจเข้าข่ายการอ้างบันดาลโทสะ เพื่อก่อเหตุหรือไม่ ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 72
“ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น ศาลจะลงโทษผู้นั้นน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”
หลักเกณฑ์ บันดาลโทสะ
1. ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม
2. การถูกข่มเหงเช่นนั้นเป็นเหตุให้ผู้กระทำบันดาลโทสะ
3. ผู้กระทำได้กระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะบันดาลโทสะ
ทั้งนี้เมื่อถูกดำเนินคดีในข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน หากแต่คำให้การอ้างบันดาลโทสะ เสี่ยอ้วน อาจพยายามต่อสู้ จนเหลือแค่เพียงคดี “ฆ่าผู้อื่น” ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ระบุว่า ผู้ใดฆ่าผู้อื่น ต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุก ตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี
ซึ่งในปัจจุบันนี้หลายคดี”ฆ่าผู้อื่น” ผู้ได้รับโทษมักให้การสารภาพในชั้นศาล ซึ่งจาก โทษสูงสุดคือประหารชีวิตและจำคุกตลอดชีวิต มีบางส่วนรับโทษจำคุกระดับ 15-20 ปี ในหลายคดี
หลายฝ่ายมองว่า เสี่ยอ้วน อาจพยายามต่อสู้คดีในส่วนนี้ โดยอ้างว่า การก่อเหตุยิงน้องฟอสเป็นการบันดาลโทสะ เนื่องจาก เสี่ยอ้วนยิงฟอสเข้าเพียงนัดเดียว หากแต่ ผู้ที่กระหน่ำยิงทั้งหมดคือ นายบ่าว มือปืนคู่ใจ
อีกทั้งก่อนหน้านี้ เสี่ยอ้วน เคยตกเป็นผู้ต้องหาคดี”ฆ่าผู้อื่น”เมื่อเดือน พ.ย.60 กรณีใช้ปืนยิงพ่อค้าไอศกรีมในหอพักของตนเอง ซึ่งครั้งนั้น อัยการสั่งไม่ฟ้องเพราะเป็นการป้องกันตัว จนทำให้เสี่ยอ้วนได้รับอิสรภาพ กระทั่งมาก่อเหตุในคดีวัดเขาชีจรรย์ 29 ก.ค.61
ดังนั้น คำให้การของเสี่ยอ้วน เกิดการตั้งคำถามว่า อาจเป็นใบเบิกทางที่เสี่ยอ้วน ต้องการสู้คดีในชั้นศาลฐานบันดาลโทสะ จึงก่อเหตุ ฆ่าผู้อื่นโดยขาดเจตนา หลังจากพยายามอ้างความสัมพันธ์ระหว่าง เสี่ยอ้วน และ น้องสปาย ที่ตนพยายามแสดงให้คนอื่นรับทราบว่า ดูแลน้องสปายมาเป็นเวลาหลายปี หรือแม้แต่ในยามที่เสี่ยอ้วน ติดต่อน้องสปายไม่ได้ ยังพยายามสื่อสารพูดคุยกับผู้ใหญ่บ้าน ใน จ.กาฬสินธ์ ให้ติดต่อหาน้องสปาย พร้อมแจ้งว่า ตนคือคนรัก
หากแต่ เพศสภาวะ ของน้องฟอส จะเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ส่งผลในคำให้การเพื่อสู้คดีของเสี่ยอ้วนหรือไม่ หลัง ครอบครัวน้องฟอส ยืนยันว่า ฟอสไม่ได้สวมรอยเป็นเพื่อนสาวน้องสปาย หากแต่ฟอสเป็นเพื่อนสาวจริงๆ และเป็นไปไม่ได้ที่ ฟอส-สปาย จะเป็นคู่รักเนื่องจากทั้งคู่เป็น ลูกพี่ลูกน้องกัน ส่วนความเชื่อว่า ฟอสสวมบทเป็นเพื่อนสาวของสปายเพื่อต้องการดูแลน้องสปาย และ ไม่ให้คนอื่นเข้าใจว่าทั้งคู่เป็นมากกว่าเพื่อน
นั่นคือ การคิดไปเองแบบหน้ามืดตามัว ของ เสี่ยอ้วน
