แฉ! “จ่าตั้มสายเปย์”อัดคลิปเด็กแบล็คเมล์ จนพยานในคดีต้องปลอมตัวเป็นนักสืบไซเบอร์ติดตามพฤติกรรมก่อนตัดสินใจส่งเรื่องถึง “บิ๊กโจ๊ก” ยอมรับว่า “กลัวแต่ต้องกล้า” เพื่อช่วยเหลือเด็กและเยาวชนให้พ้นจากเงื้อมมือจ่าตั้ม
พยานในคดี “จ่าตั้มสายเปย์” หรือ จ่าสิบเอก จักรกฤษณ์ ค่อมสิงห์ อดีตทหารสังกัดกองพลทหารม้าที่3 ค่ายเปรมติณสูลานนท์ จังหวัดขอนแก่น ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เกิดขึ้น หลังจากที่ผู้เสียหาย ซึ่งเป็นน้องในหมู่บ้าน ได้มาเล่าให้ฟังว่า ถูกทหารในพื้นที่ข่มขืนกระทำชำเรา โดยใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า “จักรกฤษณ์ ค่อมสิงห์” ส่งข้อความมาว่า จะให้เงินเดือนๆ ละ 5 พันบาท และโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ จนกระทั่งพูดคุยผ่านเฟซบุ๊ก และส่งภาพในลักษณะลามกอนาจารให้กัน และกันระหว่างชายกับชาย ก่อนที่จะนัดพบกันภายในพื้นที่อำเภอน้ำพอง ซึ่งเมื่อผู้เสียหายไปพบตามนัด กลับพบว่าไม่ใช่บุคคลคนเดียวกันในรูปที่ปรากฏ ก่อนที่ผู้ต้องหาจะข่มขืนบนรถ โดยอ้างว่าหากไม่ยอมจะเผยแพร่ภาพลามกอนาจารที่มีอยู่ และในครั้งที่2 ผู้ต้องหาได้ติดต่อมาอีกครั้ง โดยระบุว่าหากไม่มาพบ และมีเพศสัมพันธ์ด้วย จะเผยแพร่ภาพในโลกโซเชียล และภาพที่จะเผยแพร่นั้นเป็นคลิปภาพที่ถูกข่มขืน ซึ่งผู้ต้องหาได้ติดตั้งกล้องแอบถ่ายไว้ภายในรถ
จึงทำให้เหยื่อจำใจต้องเดินทางไปพบอีกครั้ง เพราะหวังว่า จ่าตั้ม จะยอมลบภาพทิ้ง แต่ผู้ต้องหาก็ไม่ลบ และใช้คลิปภาพดังกล่าวบังคับขู่เข็ญและข่มขืนกระทำชำเราเหยื่อรายดังกล่าวถึง 4 ครั้ง ก่อนที่จะตัดสินใจมาเล่าเรื่องดังกล่าวให้ฟัง เนื่องจากเหยื่อทนพฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ไหว และไม่รู้จะไปพึ่งใคร ซึ่งเมื่อรู้ถึงเหตุการณ์ จึงได้รวบรวมข้อมูลในลักษณะของนักสืบไซเบอร์ ตรวจสอบข้อมูลทั้งหมด จนสืบทราบแน่ชัดว่าผู้ต้องหาคือจ่าตั้ม จึงส่งเรื่องไปยัง เพจเฟซบุ๊กของ ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปอส.ตร. และส่งเรื่องไปยังเพจของ พลตำรวจตรี สุรเชษฐ หักพาล รักษาราชการแทนผู้บัญชาการการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จนนำมาสู่แนวทางการสืบสวนสอบสวนจับกุมตัวได้ดังกล่าว
นอกจากนี้ พยานคนดังกล่าว ยอมรับว่ากลัวเพราะผู้ต้องหาเป็นทหาร แต่ด้วยการที่ไม่ต้องการให้มีเหยื่อถูกหลอกในลักษณะดังกล่าวนี้อีก และจากการที่ปลอมตัวพูดคุยกับจ่าตั้ม และหลายคนที่ถูกจ่าตั้มข่มขืนกระทำชำเรานั้น ทุกคนถูกหลอกว่าจะได้เงิน และโทรศัพท์ ในลักษณะที่จ่าตั้มนั้นจะเปย์ และยอมจ่ายทุกอย่าง แต่กลับถูกบังคับข่มขืนกระทำชำแทบทุกคน
จากการที่ตำรวจจับกุมผู้ต้องหาได้ และไม่เชื่อว่าจะมีผู้เสียหายเพียง 75 ราย เพราะจากการหาข้อมูลในโลกโซเชียลพบว่ามีผู้ที่ถูกกระทำน่าจะมากกว่า 100 ราย แต่ไม่มีใครกล้าที่จะแสดงตัว และกล้าที่จะออกมาเปิดเผยตัวเอง แต่วันนี้ถึงเวลาแล้วที่ทุกคนที่เป็นผู้ถูกกระทำจะต้องออกมาต่อสู้ และให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ เพื่อเอาผิดกับผู้ต้องหารายนี้ถึงที่สุด เพราะหากไม่ช่วยกันอาจจะมีเหยื่อที่ถูกข่มขืนกระทำชำเรา หรือถูกกระทำในลักษณะดังกล่าวอีกอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ต้องหานั้นเลือกเหยื่อจากทั่วประเทศ ซึ่งประเทศไทยไม่ควรที่จะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น แต่เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วเราทุกคนต้องร่วมมือกัน
ทั้งนี้ ยอมรับว่าเหยื่อหลายคนกลัวความอับอาย แต่ถ้าไม่ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ พยานหลักฐานต่างๆ ก็จะไม่สามารถเอาผิดคนที่กระทำความผิดได้อย่างเต็มที่ และเมื่อมาทราบว่าผู้ต้องหานั้นติดเชื้อเอชไอวี ยิ่งทำให้ช็อกเพิ่มขึ้น จึงอยากให้เหยื่อได้เข้ารับการรักษา และเข้าสู่ขั้นตอนของการเยี่ยวยาจากหน่วยงานภาครัฐที่รับผิดชอบต่อไป