โบราณสถาน บรรจุสมบัติกว่า 4,000 ปี ไม่ได้รับการดูแลนานกว่า 6 ปี น้ำ-ไฟถูกตัด ห้องน้ำไม่มี ถนนลาดยางเข้าไม่ถึง ชาวบ้าน ครวญ อยากเลือกอบต.ใหม่ก็เลือกไม่ได้!
วันนี้ (28มิ.ย.63) ผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อว่า Noppanan Arunvongse Na Ayudhaya ได้โพสต์ข้อความโดยระบุว่าเมื่อ 12 มิ.ย. 46 นายวิมล อุบล เกษตรกรเจ้าของที่ดินในหมู่ที่ 5 ตำบลหนองราชวัตร อำเภอหนองหญ้าไซ จังหวัดสุพรรณบุรี ได้พบวัตถุโบราณจำนวนมาก ขณะขุดปรับหน้าดินเพื่อเตรียมเพาะปลูกในไร่
ทั้งนี้นายวิมลจึงรีบแจ้ง อบต. หนองราชวัตร และ อบต. หนองราชวัตร ได้แจ้งให้ สำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรีทราบ ซึ่งเมื่อรับทราบรายงาน สำนักงานศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี กรมศิลปากร จึงเข้าตรวจสอบในเบื้องต้นและได้พบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมาก ได้แก่ ชิ้นส่วนโครงกระดูกมนุษย์โบราณ ชิ้นส่วนกระดูกสัตว์ขวานหินขัด ชิ้นส่วนภาชนะดินเผารูปทรงต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้พบชิ้นส่วนขาภาชนะดินเผาที่มีรูปแบบเฉพาะในยุคหินใหม่อายุราว 4,000 ปีอีกด้วย
โดยชาวบ้านในพื้นที่ต่างดีใจ อาสารวบรวมเงินกันซื้อที่ดินผืนดังกล่าวจากนายวิมล เจ้าของที่ยินดีขายให้ในราคาพิเศษ และมอบที่ดินให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ อบต. หนองราชวัตร เพื่อร่วมกับกรมศิลปากรทำการขุดค้นเป็นสมบัติของชาติต่อไป ด้านกรมศิลปากรก็ได้ส่งนักโบราณคดีไปประจำพื้นที่ เพื่อร่วมกับชาวบ้านช่วยกันขุดค้นแหล่งโบราณคดีสำคัญระดับโลกแห่งนี้ และให้ชื่อว่า “แหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร” นับแต่นั้น
แต่ภายหลังเมื่อ อบต.หนองราชวัตรชุดใหม่ มาดูแลพื้นที่แทนชุดเดิม สถานการณ์กลายเป็นว่า เมื่อ อบต. หนองราชวัตรชุดปัจจุบันเข้าบริหารแล้วกลับทำให้การขุดค้นแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตรอยู่ในสภาพติดขัดยากลำบากขาดการสนับสนุนจาก อบต.หนองราชวัตรอย่างแข็งขันเหมือนที่ผ่านมา แม้กระทั่งระบบไฟฟ้าและประปาในแหล่งโบราณคดีฯ ก็ยังถูก อบต. หนองราชวัตรยกเลิก ทำให้นักโบราณคดีต้องเจียดเงินเดือนส่วนตัวเพื่อติดตั้งและจ่ายค่าบริการกันเอง ไม่มีแม้กระทั่งห้องน้ำสำหรับผู้เข้าเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตรที่มีเป็นจำนวนมาก รวมทั้งนักเรียน นักศึกษา ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงมหาวิทยาลัย นับสิบนับร้อยคนในแต่ละครั้งที่ต้องอาศัยต่อคิวเข้าห้องน้ำในบ้านพักชั้นเดียวหลังเล็ก ๆ ของนักโบราณคดีแทน
กรมทางหลวงชนบทตัดถนนลาดยางระยะทางหลายสิบกิโลเมตรเพื่ออำนวยความสะดวกสำหรับการเดินทางเข้าเยี่ยมชมแหล่งโบราณคดีหนองราชวัตร แต่เหลืออีกเพียงแค่ 1 กิโลเมตรจะถึงแหล่งโบราณคดีฯ ก็กลับกลายเป็นแค่ถนนลูกรังสภาพย่ำแย่ทุลักทุเล เนื่องจากถนนช่วงระยะ 1 กิโลเมตรสุดท้ายนั้นอยู่ในพื้นที่ของ อบต. หนองราชวัตร ซึ่งไม่มีการพัฒนาบำรุงรักษาถนนปลายทางเข้าสู่แหล่งโบราณคดีให้เหมาะสมแต่อย่างใด
แม้จะมีหน่วยงานขุดค้นและมีนักโบราณคดีประจำพื้นที่ แต่กรมศิลปากรก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเนื่องจากที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของ อบต. หนองราชวัตร ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ก็ทำอะไรไม่ได้อีกเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้รวบรวมเงินซื้อที่ดิน ยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของ อบต. หนองราชวัตรเอง ครั้นจะเลือกตั้ง อบต. กันใหม่ก็ทำไม่ได้อีก เนื่องจาก คสช. มีคำสั่งยกเลิกการเลือกตั้ง อบต. มาเป็นเวลากว่า 6 ปีจนถึงปัจจุบัน ทำให้ อบต.หนองราชวัตรชุดนี้ มีอำนาจบริหารมาอย่างยาวนานมั่นคงนับตั้งแต่นั้น และยังไม่ทราบว่าจะสิ้นสุดลงเมื่อใดอีกด้วย ตราบใดที่ยังไม่มีการเลือกตั้ง อบต. เกิดขึ้น
ขอบคุณภาพจาก : http://www.suphan.biz/nongrajchawat.htm