พล.ท.คงชีพ โฆษกกระทรวงกลาโหม ขอพรรคการเมืองอย่านำเรื่องความมั่นคงหาผลประโยชน์ เผยเร็วเกินไปที่จะเปลี่ยนมาใช้ระบบสมัครใจ
วันที่ 2 ธันวาคม 2562 พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม เผยถึง กรณีการนำเสนอแนวคิดการยกเลิกการเกณฑ์ทหารของบางพรรคการเมือง และเสนอพัฒนากองทัพให้มีประสิทธิภาพทัดเทียมประเทศอื่น โดยการใช้เทคโนโลยีใหม่ทดแทนกำลังพล ในภาพรวมถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี ซึ่งกองทัพก็พร้อมเปิดกว้าง รับแนวคิดต่างๆ มาปรับปรุงสู่การเปลี่ยนแปลงกองทัพให้มีความทันสมัยขึ้นไปด้วยกัน ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยนข้อมูลร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ด้วยกลไกรัฐสภา เนื่องจากเกี่ยวข้องกับกฎหมายหลายฉบับและสถานะเสถียรภาพความมั่นคงของประเทศในภาพรวม
การเสนอแนวคิดการยกเลิกเกณฑ์ทหาร และสรรหากำลังพลด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นแนวทางการปฏิรูประบบงานกำลังพลระยะยาวที่ กห.มีอยู่เดิม โดยมีแผนงานต่อเนื่องในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งดำเนินการควบคู่กับการพัฒนาระบบกำลังสำรองและการฝึกวิชาทหาร การดำเนินงานตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร พ.ศ.2497 ได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัยต่อเนื่องมา ทำให้กองทัพสามารถบริหารจัดการระบบการเข้าประจำการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านความมั่นคง โดยใช้การผสมผสานระหว่างระบบการเกณฑ์และระบบสมัครใจควบคู่กันไป
ซึ่งที่ผ่านมาจากสถิติผู้สมัครใจเข้าเป็นทหาร ยังคงมีจำนวนไม่เพียงพอต่อความต้องการของกองทัพในแต่ละปี เช่นเดียวกับหลายประเทศที่เคยยกเลิกการเกณฑ์ทหาร กำลังเตรียมผลักดันให้กลับมามีการเกณฑ์ทหารเช่นเดิม โดยเฉพาะประเทศในยุโรป เนื่องจากยังไม่สามารถสร้างแรงจูงใจเยาวชนให้เข้าเป็นทหารได้มากเท่าที่จำเป็นและมองว่าเป็นโอกาสที่คนหนุ่มสาวจะได้ทำประโยชน์คืนแก่ประเทศและสังคม และเชื่อว่าเป็นความภาคภูมิใจของทุกคน
ในภาพรวม จึงเร็วเกินไปที่จะปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบดังกล่าว โดยจำเป็นต้องศึกษาถึงผลกระทบด้านความมั่นคงและประเด็นปัญหาต่างๆอย่างรอบด้าน เช่น การขาดแคลนกำลังพลสำรองซึ่งอาจเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งเป็นกำลังทางยุทธศาสตร์ของระบบเตรียมความพร้อมของประเทศยามวิกฤต การเพิ่มค่าตอบแทนและสวัสดิการพลทหารซึ่งเป็นเรื่องดี แต่อาจเป็นปัญหาภาระงบประมาณของประเทศระยะยาว ซึ่งอาจมีผลเชื่อมโยงต่อการปรับขยายฐานเงินเดือนและสวัสดิการของข้าราชการระดับต่างๆทั้งประเทศในอนาคต
อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเวลารับราชการ ซึ่งจะมีผลให้พลทหารมีอายุมากขึ้นและมีช่วงอายุห่างกันมาก ( 21 – 40 ปี ) อาจเป็นปัญหาต่อขีดความสามารถของกำลังพลโดยรวมและโอกาสทางอาชีพหลังปลดประจำการ โดยเฉพาะการเรียกเกณฑ์ ในเวลาที่จำกัดยามที่อาจเกิดสงคราม จะมีผลอย่างมากต่อระบบความพร้อมรบของประเทศในภาพรวม อีกทั้ง การกำหนดบทนิรโทษกรรม จะกระทบต่อหลักนิติธรรม ความเท่าเทียมกันและเป็นช่องทางของการไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย และที่สำคัญต้องไม่ขัดกันในข้อกฎหมาย เรื่องสิทธิและหน้าที่
ทั้งนี้ กองทัพยังมีความกังวลอยู่บ้าง ต่อการนำเรื่องความมั่นคงไปใช้ประโยชน์ทางการเมืองผ่านกิจกรรมต่างๆ ด้วยข้อมูลที่ไม่ถูกต้องและครบถ้วน ซึ่งอาจสร้างความสับสนและความเข้าใจผิดกับสังคมได้ อย่างไรก็ตามก็เชื่อว่า การทำงานการเมืองแบบใหม่ที่ผ่านบทเรียนร่วมกันโดยปราศจากอคติ มองผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติเป็นเป้าหมายร่วมกัน ผ่านกลไกในวิถีประชาธิปไตย จะทำให้เราสามารถหาทางออกที่สมประโยชน์ร่วมกันได้ในทุกเรื่อง