กรมสุขภาพจิตเผยอัตราเฉลี่ย คนไทยพยายามฆ่าตัวตายมากขึ้น และทุก 2 ชม. ฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน
มุ่งผลักดันโครงการ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”ลดตัวเลขโรคซึมเศร้า
เมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2562 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า วันที่ 1-7 พฤศจิกายนของทุกปี รัฐบาลได้กำหนดให้เป็นสัปดาห์สุขภาพจิตแห่งชาติ โดยปี2562 กระทรวงสาธารณสุข โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข นายสาธิต ปิตุเตชะ รมช.สาธารณสุข พร้อมด้วยกรมสุขภาพจิต ได้มีการรณรงค์ภายใต้แนวคิด “สุขภาพจิตไทย …ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งเป็นสโลแกนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม พร้อมเผยกำหนดจัดงานระหว่างวันที่ 2-3 พฤศจิกายน 2562 ณ ลานไนน์สแควร์ เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ พระราม 9 กทม. โดยจะมีการให้คำปรึกษา และให้ความรู้เรื่องการป้องกันโรคซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย ประชาชนที่สนใจสามารถเข้าเยี่ยมชมหรือรับคำปรึกษา ภายงานได้ตามวันดังกล่าวด้วย
โครงการ “สุขภาพจิตไทย …ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นั้นมีวัตถุประสงค์ป้องกันโรคซึมเศร้า โดยมุ่งหวังให้คนไทยหันมาสนใจคนรอบข้างที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้ามากขึ้น ซึ่งจะเริ่มจากจุดเล็ก ๆ อาทิ ครอบครัว โรงเรียน ที่ทำงาน เนื่องจากสังคมที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว บวกกับสภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกยุคปัจจุบันนั้น ส่งผลให้ประชาชนเกิดความเครียด อันนำไปสู่โรคซึมเศร้า ซึ่งพบว่ามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
น.ส. ไตรศุลี กล่าวว่า จากการตรวจสอบพบว่า ในเวลา 9.55 นาที จะมีคนพยายามฆ่าตัวตาย 1 คน ขณะที่ 2 ชั่วโมงจะมีคนฆ่าตัวตายสำเร็จ 1 คน ซึ่งรัฐบาลถือเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ จึงอยากเชิญชวนสังคมช่วยกันป้องกันการฆ่าตัวตาย ซึ่งทำได้หลายวิธี รวมถึงการเอาใจใส่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง โดยต้องหันมาสนใจคนรอบข้างมากขึ้น
นอกจากนั้น ข้อมูลจากศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายระดับชาติ กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข พบว่าเฉลี่ยแล้วคนไทยมีความพยายามฆ่าตัวตาย 53,000 คนต่อปี ฆ่าตัวตายได้สำเร็จประมาณ 4,000 คนต่อปี ส่วนคนที่ฆ่าตัวตายไม่สำเร็จนั้น มีแนวโน้นที่จะพยายามกลับมาฆ่าตัวตายซ้ำอีก ทั้งนี้ หากดูตัวเลขการตายอย่างผิดธรรมชาติของประชากรไทย จะพบว่าอันดับ 1 อุบัติเหตุ ส่วนอันดับ 2 คือการฆ่าตัวตาย ขณะที่อันดับ 3 คือการฆ่ากันตาย จึงจะเห็นว่า การฆ่าตัวตายนั้น มีตัวเลขเฉลี่ยที่สูงกว่าการฆ่ากันตาย