วิกฤตหนัก! สภากาชาดไทย เผย ขาดแคลนเลือดครั้งใหญ่ เหตุสถานการณ์โควิด-19 การบริจาคเลือดจึงลดลง วอนผู้มีสุขภาพดีบริจาคเลือดเร่งด่วน
เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2564 ทางด้านของรศ.พญ.ดุจใจ ชัยวานิชศิริ ผู้อำนวยการศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย เผยว่า นับตั้งแต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ทำให้การบริจาคเลือกนั้นลดลงทั่วประเทศ ถือว่าครั้งนี้เป็นวิกฤตที่หนักกว่าปีที่ผ่านมา ทำให้หลายโรงพยาบาลที่ปริมาณเลือกไม่เพียงพอ ต้องเลื่อนนัดหมายการผ่าตัดออกไปก่อน
จากกราฟเป็นข้อมูลการบริจาคโลหิตทั่วประเทศ พบว่าการบริจาคลดลง โดยปกติแล้วนั้นต้องมีโลหิตรักษาผู้ป่วยเดือนละ 200,000 ยูนิต แต่เมื่อช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านนั้นมีโลหิตจากการบริจาคเพียง 149,384 ยูนิต มีการขาดแคลนสะสมยาวนานมากกว่า 5 เดือนและสามารถจ่ายโลหิตให้ได้เฉลี่ย 2,300 ยูนิตต่อวัน (28%) สถานการณ์ขาดแคลนโลหิตเช่นนี้ จะส่งผลอันตรายแก่ชีวิตของผู้ป่วยได้
- ผู้ป่วยโรคเลือด ซึ่งจำเป็นต้องรับโลหิตครั้งละ 1-2 ยูนิต ทุก 3-4 สัปดาห์ หากไม่ได้รับโลหิตผู้ป่วยจะมี ภาวะซีด อ่อนเพลีย มีปัญหาในการดำรงชีวิต
- ผู้ป่วยผ่าตัด ผู้ป่วยมะเร็ง ที่จะต้องถูกชะลอการรักษาออกไปอย่างไม่มีกำหนด
- ผู้ป่วยอุบัติเหตุ ที่จำเป็นต้องใช้โลหิตในการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน เช่น เลือดออกในสมอง มีภาวะเลือดออกในช่องอกหรือช่องท้อง หรือผู้ป่วยกระดูกหัก ซึ่งมีเกือบทุกวัน และเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ต้องการโลหิตจำนวนมาก
ต้องยอมรับว่าในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ส่งผลต่อการบริจาคเลือกเป็นอย่างมาก แต่การใช้โลหิตในการรักษานั้นเกิดขึ้นทุกวัน จนเกิดภาวะขาดแคลนเลือดทั่วประเทศ ถึงเวลาแล้วที่จะคนไทยต้องช่วยกัน วอนผู้ที่มีสุขภาพดี หรือผู้ที่ครบกำหนดบริจาคโลหิต 3 เดือนแล้ว บริจาคโลหิตอย่างเร่งด่วน เพื่อช่วยผู้ป่วยทั่วประเทศ
สามารถบริจาคได้ ณ โรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศที่เปิดรับบริจาคโลหิต ใกล้ที่ไหน บริจาคที่นั่นในพื้นที่ของตนเองเพื่อความสะดวกปลอดภัยของท่านผู้บริจาค
- บริจาคโลหิต ก่อน ฉีดวัคซีน
- หากไม่มีอาการอ่อนเพลีย สามารถฉีดวัคซีนได้ในวันถัดไป ไม่ควรบริจาค
- โลหิตวันเดียวกับวันที่ฉีดวัคซีน
- บริจาคโลหิต หลัง ฉีดวัคซีน
- กรณีได้รับวัคซีน COVID-19 ที่ได้รับการรับรองจาก อย. ขอให้เว้น 7 วัน หลังฉีด
- กรณีมีอาการข้างเคียงหลังฉีดวัคซีน ขอให้หายดีก่อน เว้น 7-14 วัน ตามความรุนแรงของอาการ
สามารถติดตามข่าวสาร และ เรื่องดีๆเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ เว็บไซต์ Bright Today หรือ Facebook Bright TV