ผู้ร่วมขับเคลื่อนภาคท่องเที่ยว มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ ชี้ เลิกความผิดค้าประเวณี หลังได้รับสิทธิช่วยเหลือจาก เราไม่ทิ้งกัน ของรัฐบาล ชี้ ถือว่าถูกยอมรับการมีตัวตนแล้ว
เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2563 เฟซบุ๊คแฟนเพจ “Empower Foundation” ของมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ องค์กรภาคประชาสังคม (NGO) ที่รณรงค์เรื่องสิทธิของผู้ขายบริการทางเพศและพนักงานในสถานบันเทิง กล่าวถึงโครงการเงินเยียวยา 5,000 บาท ช่วงวิกฤตการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19 ของรัฐบาล โดยแรงงานนอกระบบที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์ (Lockdown) สั่งปิดสถานบันเทิงและสถานที่ต่างๆ เพื่อสกัดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า รัฐบาลไม่ตัดสิทธิ์ผู้ขายบริการทางเพศเพื่อได้รับเงินเยียวยาดังกล่าว จึงขอเรียกร้องให้ภาครัฐยกเลิกกฎหมายความผิดฐานค้าประเวณี เพื่อให้ได้รับการยอมรับในฐานะแรงงาน โดยระบุข้อความ ดังนี้
สถานการณ์ โควิด 19 ในวิกฤตครั้งนี้พนักงานบริการเป็นหนึ่งงานที่ได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องจากพิษเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2562 แต่พอเอาตัวรอดได้ จนกระทั่งมาหยุดแบบ 100% ก็ในเดือนมีนาคมที่รัฐบาลสั่งปิดสถานบริการและปิดประเทศ พนักงานบริการต้องตกงาน ไม่มีรายได้ อีกทั้งพนักงานบริการส่วนใหญ่80% เป็นแม่ ที่ต้องดูแลครอบครัวข้างหลัง หากรัฐบาลจ่ายค่าตอบแทนอย่างสม่ำเสมอให้แม่ทุกคนหรือคนดูแลสมาชิกในครอบครัว จะมีประโยชน์กับพนักงานบริการถึง80% โดยที่รัฐบาลไม่ต้องมาเก็บข้อมูลใหม่หรือการเก็บข้อมูลดังกล่าวอาจเพิ่มความเสี่ยงกับการตีตราต่อพนักงานบริการ
ใน ปีพ.ศ. 2558 กระทรวงมหาดไทยรายงานว่ามีสถานประกอบการบันเทิงจำนวน 142,786 แห่ง หากคำนวนจำนวนพนักงานขั้นต่ำที่ 10 คนต่อร้าน หมายความว่ามีพนักงานอย่างน้อย 1,427,860 คนที่ต้องตกงานจาก โควิด19
รัฐให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด ลงทะเบียน “เราไม่ทิ้งกัน” ซึ่งกลุ่มพนักงานบริการเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดโดยตรงเพราะทำงานในสถานบริการที่ถูกรัฐสั่งปิดรวมพนักงานบริการส่วนใหญ่ไม่มีประกันสังคมจึงต้องลงทะเบียนรับเงินเยียวยาจาก “เราไม่ทิ้งกัน” นี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่พนักงานบริการสามารถลงทะเบียนงานของเราได้โดยตรง เห็นได้ชัดว่ารัฐบาลยอมรับว่าเราเป็นแรงงานกลุ่มหนึ่งในสังคม
เห็นว่าพนักงานบริการเป็นกระดูกสันหลังของธุรกิจบันเทิงและการท่องเที่ยว เท่าเทียมกับแรงงานประเภทอื่นๆ
การทำให้งานของพนักงานบริการเป็นความผิดทางอาญาและการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องก่อให้เกิดปัญหามากมายกับพนักงานบริการสำหรับหน่วยงานรัฐบาลซึ่งกำลังดำเนินการเพื่อให้มั่นใจว่า“ เราไม่ทิ้งกัน “
ในช่วง 5 วันที่ผ่านมาพนักงานบริการกว่า 300 คน ได้ทำแบบสำรวจให้ข้อมูลผ่านทางมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ส่งต่อให้กับกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในการของบประมาณในการช่วยเหลือพนักงานบริการ
หากสถานบริการและบันเทิงยังคงต้องปิดและระหว่างที่รอการฟื้นตัว
มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์เสนอให้กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และหน่วยงานอื่นๆที่เกี่ยวข้องสามารถใช้ข้อมูลที่เคยมีการรวบรวบไว้ช่วยในการคำนวณ วางแผนขยายการช่วยเหลือได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น และหากสถานบริการและบันเทิงต้องยื่นรายชื่อลูกจ้างให้กับกระทรวงแรงงาน เพื่อทำประกันสังคมเหมือนกับสถานที่ทำงานอื่นๆ ข้อมูลเหล่านี้จะเป็นฐานข้อมูลอันเป็นประโยชน์ต่อภาครัฐเมื่อต้องการข้อมูล
พนักงานบริการเป็นกลุ่มสุดท้ายที่จะได้กลับไปทำงาน ความต้องการที่เร่งด่วนสุดคือการเข้าถึงเงินเพื่อที่จะอยู่รอด อย่างไรก็ตามพนักงานบริการต้องมีส่วนร่วมในการวางแผนในอนาคตด้วยมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์จึงขอเรียกร้องให้กระทรวงการท่องเที่ยวรับฟังความเห็นและให้พนักงานบริการมีส่วนร่วมในการกำหนดแผนการทำงานของรัฐบาลในอนาคตเกี่ยวกับธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศไทย
ธุรกิจบันเทิงหรือธุรกิจบริการจะต้องไม่กลับไปทำให้พนักงานถูกปฏิบัติเยี่ยงอาชญากร เอาเปรียบพนักงานบริการและทำให้พนักงานบริการกลายเป็นเป้าหมายของเจ้าหน้าที่ในการคอรัปชั่น การตระหนักว่างานของเราเป็นงานจะต้องทำให้ยิ่งชัดเจนมากยิ่งขึ้นจะเป็นตัวช่วย ที่ไม่ทำให้เกิดปัญหาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ต้องรวมไปถึงการมีส่วนร่วมของกระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคมที่ทำให้มั่นใจว่านายจ้างจะปฏิบัติตามกฎหมายคุ้มครองแรงงาน จะต้องมีการยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีที่ล้าสมัยซึ่งเป็นตัวขัดขวาง หันมาใช้กฎหมายที่คุ้มครองสิทธิของคนทุกคนแทน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่จะปรับปรุงชีวิตและการทำงานของพนักงานบริการหลายแสนคน
รัฐบาลไทยต้องทำตามข้อตกลงที่ให้ไว้กับคณะทำงานของสหประชาชาติเรื่องธุรกิจกับสิทธิมนุษยชน ดังนั้นเราคาดหวังว่าการเข้าถึงสิทธิและหลักการของการมีส่วนร่วมของผู้ได้รับผลกระทบอย่างพนักงานบริการ จะได้รับการดำเนินการโดยรัฐบาลไทย
ที่สำคัญประเทศไทยก็จะถูกมองเห็นว่าเป็นประเทศที่เคารพสิทธิมนุษยชน และ“เราไม่ทิ้งกัน” อย่างแท้จริง