พรรคก้าวไกล แผ่กฎหมาย ตอกกลับครูที่อ้างว่า “การจับเด็กตัดผม” ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเหนือร่างกายของเด็กนั้นทำไปเพื่อความหวังดี

จากกรณีครูในโรงเรียนหลายแห่งได้ละเมิดสิทธิเหนือร่างกายของนักเรียน ด้วยการลงโทษตัดผมนักเรียนให้แหว่งจนเกิดความอับอาย และล่าสุดที่สมาคมผู้บริหารโรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งประเทศไทยก็ได้ออกแถลงการณ์ให้นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ส.ส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล ถอนคำพูดที่กล่าวว่า ครูกล้อนผมนักเรียนละเมิดสิทธิเด็ก ควรเรียกตัวเองว่าอาชญากร และควรลาออกจากการเป็นครู

พรรคก้าวไกล แสดงจุดยืน ครูไม่มีสิทธิ์ละเมิดนักเรียน ร้อง สธ.ลงโทษครูให้ชัดเจน

บอล ธนวัฒน์ ลั่น ส.ส.วิโรจน์พูดผิดตรงไหน ทำไมต้องถอนคำพูด?

ล่าสุดพรรคก้าวไกลก็ได้ออกมาพูดถึงประเด็นนี้อีกครั้ง เพื่อเป็นการยืนยันว่า พรรคก้าวไกลอยู่เคียงข้างเด็กที่ถูกละเมิดสิทธิ ทบทวนกฎระเบียบว่าด้วยเรื่องทรงผม และกฎหมาย โดยแถลงการณ์ของพรรคก้าวไกลมีความว่า

1) ปัจจุบันทรงผมของนักเรียน กระทรวงศึกษาธิการ ได้กำหนดระเบียบใหม่ที่ชื่อว่า ระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 [1] ซึ่งระบุในข้อที่ 4 ว่า นักเรียนจะไว้ผมยาวหรือสั้นก็ได้ ขอเพียงให้เรียบร้อย แม้ว่าในข้อที่ 7 จะระบุว่าโรงเรียนสามารถวางระเบียบเกี่ยวกับการไว้ทรงผมของนักเรียนที่มีความเฉพาะเจาะจงเพิ่มเติมได้ แต่จะต้องไม่ขัดหรือแย้งกับระเบียบนี้ นั่นก็คือ “นักเรียนจะไว้ผมยาวหรือสั้นก็ได้ ขอเพียงให้เรียบร้อย” และการวางระเบียบเพิ่มเติมใดๆ ในวรรคที่สอง กำหนดให้นักเรียนต้องมีส่วนร่วมด้วย

ดังนั้นระเบียบทรงผมของบางโรงเรียนที่กำหนดให้นักเรียนต้องไว้ผมทรงนักเรียนเท่านั้น ต้องไว้เท่าระดับติ่งหูเท่านั้น หรือต้องยาวได้ไม่เกินเท่านั้นเท่านี้ จึงเป็นการกระทำที่ขัดกับระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการ

ซึ่งชี้ชัดว่า เหตุผลที่ครูบางท่านยกมาอ้างว่า ที่ต้องลงโทษนักเรียน ก็เพราะว่าต้องการให้นักเรียนมีวินัย และเคารพระเบียบ เป็นข้ออ้างที่ไม่สมเหตุสมผล เพราะอันที่จริงแล้ว นักเรียนไว้ทรงผมได้ถูกต้องตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการแล้ว

สมาคมผู้บริหารร.ร.มัธยมฯ ลั่น วิโรจน์ ต้อขอโทษ ครูกล้อนผมนร. ขู่ แบนก้าวไกล

2) หากพิจารณาระเบียบกระทรวงศึกษาธิการ ว่าด้วยการลงโทษนักเรียนหรือนักศึกษา พ.ศ.2548 [2] ได้กำหนดไว้ชัดเจนในข้อที่ 5 ว่า ครูจะลงโทษนักเรียนได้เพียง 4 สถานเท่านั้น คือ ว่ากล่าวตักเตือน ทำทัณฑ์บน ตัดคะแนนประพฤติ และทำกิจกรรมเพื่อให้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และในข้อที่ 6 ก็ย้ำชัดว่า ห้ามลงโทษนักเรียนด้วยวิธีรุนแรง หรือแบบกลั่นแกล้ง หรือด้วยความโกรธ หรือด้วยความพยาบาท ไม่มีข้อใดที่ให้อำนาจครู ในการลงโทษนักเรียน ด้วยวิธีการกล้อนผม หรือตัดผมนักเรียนให้แหว่ง

ดังนั้น การที่ครูบางท่านลงโทษนักเรียนด้วยการกล้อนผม ตัดผมให้แหว่ง ซึ่งเป็นการประจานตีตรา เหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน จึงเป็นการกระทำที่ผิดระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนฯ อย่างชัดเจน ยิ่งพฤติกรรมการใช้วาจาข่มขู่คุกคาม เปรียบเปรยการไว้ผมของนักเรียนหญิงกับการค้าประเวณี การไล่ให้นักเรียนไปลาออก การด่าทอนักเรียนให้ไปฆ่าตัวตาย หรือการใช้ถ้อยคำเย้ยหยันดูหมิ่นนักเรียนต่างๆ จึงเป็นการกระทำที่ผิดต่อระเบียบฉบับนี้ทั้งสิ้น

นอกจากนี้ เนื่องจากครู เป็นวิชาชีพชั้นสูง ซึ่งต้องปฏิบัติหน้าที่ภายใต้จรรยาบรรณวิชาชีพ [3] เมื่อพิจารณาแล้วก็พบว่า การกล้อนผม ตัดผมแหว่ง หรือการกระทำใดๆ ที่เป็นการประจานตีตราเหยียดหยามศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน รวมทั้งการข่มขู่คุกคามใดๆ นั้นเป็นการประพฤติที่ผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพครู ด้านที่ 3 ซึ่งกล่าวถึงจรรยาบรรณต่อผู้รับบริการ ถึง 3 ข้อด้วยกัน คือ

ข้อที่ 3 ที่ระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม
ให้กําลังใจแก่ศิษย์ และผู้รับบริการ ตามบทบาทหน้าที่โดยเสมอหน้า

ข้อที่ 5 ที่ระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจา และจิตใจ

และข้อที่ 6 ที่ระบุว่า ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทําตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย สติปัญญา จิตใจ อารมณ์ และสังคมของศิษย์ และผู้รับบริการ

ซึ่งตาม พ.ร.บ.สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา [4] พ.ศ.2546 ตามมาตราที่ 51 นักเรียน และผู้ปกครองที่ได้รับความเสียหายจากการประพฤติผิดจรรยาบรรณวิชาชีพของครูท่านนั้น สามารถร้องเรียนไปที่คุรุสภาได้ ซึ่งตามมาตราที่ 54 คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพวินิจฉัย เพื่อตักเตือน ภาคทัณฑ์ พักการใช้ใบอนุญาตไม่เกิน 5 ปี หรือเพิกถอนใบอนุญาต ตามที่เห็นสมควรต่อไป

3) การที่ครูบางท่านลงโทษนักเรียน ด้วยการกล้อนผม ตัดผมนักเรียนให้แหว่ง หรือใช้วิธีการใดๆ ที่มีลักษณะเป็นการประจานตีตรา ให้นักเรียนได้รับความอับอาย รู้สึกว่าตนถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นั้นยังเป็นการกระทำที่เข้าข่ายการกระทำที่ผิดต่อรัฐธรรมนูญ และกฎหมายอาญา อยู่หลายกรณี ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง และนักเรียน สามารถนำเอาหลักฐาน ไปแจ้งความดำเนินคดีกับครูผู้กระทำได้ที่สถานีตำรวจ โดยมีข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

3.1) รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2560 มาตราที่ 28 [5] ที่ระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย การค้นตัวบุคคล หรือการกระทําใด อันกระทบกระเทือนต่อสิทธิหรือเสรีภาพในชีวิต หรือร่างกาย จะกระทํามิได้ เว้นแต่มีเหตุตามที่กฎหมายบัญญัติ (ซึ่งไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้ครูสามารถกล้อนผมเด็กได้) การทรมาน ทารุณกรรม หรือการลงโทษด้วยวิธีการโหดร้าย หรือไร้มนุษยธรรมจะกระทํามิได้

3.2) เนื่องจากปลัดกระทรวงศึกษาธิการได้ยืนยันชัดเจนว่า การกล้อนผมนักเรียน เป็นการลงโทษที่ไม่ถูกต้อง และได้ส่งหนังสือถึงโรงเรียนทั่วประเทศ [6] ให้เข้าใจถึงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการไว้ทรงผมของนักเรียน พ.ศ.2563 และระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยการลงโทษนักเรียนนักศึกษา พ.ศ.2548 โดยเน้นย้ำว่าไม่สามารถลงโทษนักเรียนด้วยการกล้อนผมได้ ดังนั้น หากยังพบว่ายังมีครูคนใดฝ่าฝืนระเบียบ และคำสั่งของกระทรวงศึกษา ลงโทษนักเรียนด้วยการกล้อนผม ตัดผมให้แหว่ง หรือกระทำการข่มขู่คุกคามใดๆ หรือกระทำการใดๆ อันมีลักษณะเป็นการประจานตีตรา ลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน ย่อมเข้าข่ายการกระทำผิดตามมาตรา 157 แห่งประมวลกฎหมายอาญา [7] ที่ระบุว่า “ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงสิบปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองหมื่นบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ”

และการกระทำดังกล่าว ยังอาจเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดทางอาญาในหลายมาตรา เช่น
มาตรา 295 ผู้ใดทำร้ายผู้อื่น จนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจของผู้อื่นนั้น ผู้นั้นกระทำความผิดฐานทำร้ายร่างกาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

หรืออย่างน้อยๆ ก็น่าจะเข้าข่ายการกระทำผิดตามมาตรา 391 ที่ระบุว่า ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น โดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย หรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมทั้งมาตรา 392 ที่ระบุว่า ผู้ใดทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัว หรือตกใจ โดยการขู่เข็ญ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ในกรณีที่ครูคนใด นำเอาข้อมูลของนักเรียนไปดูหมิ่นให้เสียชื่อเสียง หรือถูกเกลียดชัง ผ่านกลุ่ม LINE หรือ Facebook นั้นก็เป็นการกระทำที่เข้าข่ายการกระทำผิดประมวลกฎหมายอาญา ในความผิดฐานหมิ่นประมาท มาตรา 326 ที่ระบุว่า ผู้ใดใส่ความผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ผู้นั้นกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และมาตรา 328 ที่ระบุว่า ถ้าความผิดฐานหมิ่นประมาทได้กระทำโดยการโฆษณาด้วยเอกสาร ภาพวาด ภาพระบายสี ภาพยนตร์ ภาพหรือตัวอักษรที่ทำให้ปรากฏไม่ว่าด้วยวิธีใด ๆ แผ่นเสียง หรือสิ่งบันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกอักษร กระทำโดยการกระจายเสียง หรือการกระจายภาพ หรือโดยกระทำการป่าวประกาศด้วยวิธีอื่น ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี และปรับไม่เกิน 200,000 บาท

3.3) การกล้อนผม ตัดผมนักเรียนให้แหว่ง หรือการกระทำการใดๆ ในลักษณะประจานตีตรา ให้นักเรียนอับอาย รู้สึกว่าตนถูกลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ นั้นเข้าข่ายการกระทำทารุณกรรมต่อเด็ก ตามมาตรา 26 (1) แห่ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 [8] ที่ระบุว่า ไม่ว่าเด็กจะยินยอมหรือไม่ ห้ามมิให้ผู้ใดกระทำการ ดังต่อไปนี้ (1) กระทำหรือละเว้นการกระทำ อันเป็นการทารุณกรรมต่อร่างกาย หรือจิตใจของเด็ก ซึ่งในมาตรา 78 ได้ระบุว่าผู้ใดฝ่าฝืนมาตรา 26 ต้องระวางโทษจําคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

จากที่ผมได้เรียบเรียงเนื้อหามาทั้งหมดในข้างต้น ก็พอสรุปได้ว่า การกล้อนผม หรือตัดผมนักเรียนให้แหว่ง รวมทั้งการกระทำใดๆ ที่มีลักษณะประจานตีตรา เพื่อลดทอนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของนักเรียน นั้นเข้าข่ายการกระทำความผิดทางอาญา ซึ่งพ่อแม่ผู้ปกครอง และเด็ก สามารถไปแจ้งความดำเนินคดี กับครูผู้กระทำได้ เหตุผลที่ครูผู้กระทำ มักจะนำมาอ้างว่า ทำไปด้วยความหวังดี หรือความห่วงใยที่มีต่อนักเรียน ล้วนเป็นเหตุผลที่ไม่อาจรับฟังได้ ไม่มีใครที่จะอ้างว่าตนเป็นผู้หวังดี แล้วจะไปกระทำทารุณกรรมต่อร่างกาย และจิตใจของใครได้

นอกจากนี้ ครูที่กระทำจำนวนหนึ่ง ยังมักอ้างว่า สมัยที่ตนเป็นเด็ก ก็ถูกกระทำอย่างนี้ ก็สามารถยอมรับได้ เหตุผลนี้ก็ไม่อาจรับได้อีกเช่นเดียวกัน เพราะการศึกษาในยุคปัจจุบัน ได้เปลี่ยนไปมากแล้ว ปัจจุบันการศึกษาของอารยประเทศ

เขามุ่งที่จะเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดอย่างมีวิจารญาณด้วยตนเอง (Critical Thinking) ไม่ใช่การสอนให้เด็ก “เชื่อฟัง” และเขายังสอนให้เด็กกล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ กล้าที่สรรค์สร้างนวัตกรรม ไม่ใช่การสอนให้เด็ก “ทำตามคำสั่ง”

และหากพิจารณาจากแนวทางการจัดการศึกษาของประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่างกรณีของกลุ่มประเทศ OECD ที่เรียกว่า OECD Learning Compass 2030 [9] ก็มีเป้าหมายที่ชัดเจนว่า การศึกษาในโลกอนาคต นั้นต้องมุ่งสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ดี (Well-being) ให้กับเด็ก” ดังนั้น การกระทำการใดๆ ที่เป็นการตีตราประจาน เพื่อด้อยศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเด็ก รวมทั้งการละเมิดสิทธิเด็ก ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ก็เป็นสิ่งที่โลกใบนี้ไม่สามารถยอมรับได้อีกต่อไป

หากการศึกษาไทย ยังคงใช้วิธีการบังคับให้นักเรียนต้องทำตามคำสั่ง กดให้นักเรียนต้องยอมจำนนต่ออำนาจนิยม โดยไม่เปิดโอกาสให้เด็กได้ใช้วิจารณญาณใดๆ ด้วยตนเองเลย เมื่อเขาเติบโตขึ้นภายใต้ระบบการศึกษาที่เป็นแบบนี้ เราจะกล้าที่จะคาดหวังให้เขากล้าที่จะคิดสร้างสรรค์ได้อย่างไร เราจะกล้าเรียกร้องให้เขากล้าที่จะคิดต่าง กล้าที่จะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับประเทศนี้ได้อย่างไร ก็ในเมื่อระบบการศึกษาของเรากดให้เขาต้องเชื่อฟัง และทำตาม มาโดยตลอด

เหตุผลสำคัญข้อหนึ่ง ของการที่เด็กต้องมาโรงเรียน ก็เพราะว่า พ่อแม่คาดหวังว่า โรงเรียนจะเป็นสังคมจำลอง ที่มีความปลอดภัยต่อเด็ก โดยที่พวกเขาจะได้รับการคุ้มครองสวัสดิภาพทั้งทายกาย และจิตใจ เป็นอย่างดี ภายในรั้วของโรงเรียน เพื่อจะได้ฝึกให้พวกเขาเป็นประชากรที่มีคุณภาพในสังคมแห่งความเป็นจริงได้ และสังคมแห่งความเป็นจริง ในโลกใบนี้ นั้นเป็นสังคมที่มีความแตกต่างหลากหลาย ไม่ใช่หรือครับ

ดังนั้น สังคมจำลองในโรงเรียน จึงควรเป็นสังคม ที่ฝึกให้เด็กเติบโตขึ้นมา โดยที่พร้อมโอบรับความแตกต่างหลากหลาย เห็นคุณค่าของความแตกต่างที่เป็นอัตลักษณ์ของตนเอง ที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนคนอื่น และเคารพในความแตกต่างของคนอื่นที่ไม่จำเป็นต้องเหมือนกับตน ดังนั้น โรงเรียนใดก็ตาม ที่พยายามบังคับให้เด็กทุกคนเป็นเหมือนๆ กัน พยายามออกคำสั่งที่พยายามทำให้เด็กทุกคนทำเหมือนๆ กัน จึงเป็นการกระทำที่ทวนกระแสของโลกใบนี้ และถ้าการศึกษาไทย ยังไม่ยอมที่จะหลุดพ้นออกจากกรอบนี้ การศึกษาไทย จะไม่มีทางเป็นกลไกในการพัฒนาเด็กไทย ให้เติบโตขึ้นมาเป็นพลเมือง ที่มีขีดความสามารถที่พร้อมแข่งขัน และร่วมมือกับพลโลกอื่นๆ จากนานาอารยประเทศได้เลย

ข่าวล่าสุด

ดูทั้งหมด

​กรมราชทัณฑ์ ยื่นหนังสือชี้แจง ป.ป.ช. ปมช่วย ‘ทักษิณ’ ไม่ต้องติดคุก

​กรมราชทัณฑ์ ยื่นหนังสือถึง ป.ป.ช. ชี้แจง 5 ประเด็น ที่สังคมทั้งข้อสงสัย ปมให้การช่วยเหลือ ‘ทักษิณ ชินวัตร’ ไม่ต้องติดคุก

อากาศร้อนจัด! จนท.ดับไฟป่าทับลาน เกิดฮีทสโตรก-หยุดหายใจกะทันหัน

เร่งทำ CPR กลับคืน หลังอากาศร้อนจัด ทำเจ้าหน้าที่ป่าไม้ดับไฟป่าทับลาน เป็นฮีทสโตรก 3 ราย มี 1 รายหยุดหายใจกะทันหัน!

“เมษามหาโชค” เปิดดวง “ราศีกันย์” สาส์นจากไพ่พระพิฆเนศ

หมออาร์ต คเณชาพยากรณ์ เปิดไพ่รับสาส์นจากพระพิฆเนศ ทำนายดวง ราศีกันย์ ประจำเดือนเมษายน 2567

เจอแล้ว! กะโหลกมนุษย์ ใกล้บ่อน้ำ สภาพถูกแทะ คาดเป็นส่วนที่ตามหา

เจ้าหน้าที่ตำรวจพบชิ้นส่วน กะโหลกศีรษะแล้ว ใส่ถุงดำถูกนำมาทิ้งซอยตรงข้าม คาดตัวเงินตัวทองฉีกถุงขาด และอาจจะมีชิ้นส่วนถูกทิ้งอยู่ในบ่อน้ำอีก

เหิมเกริม! ลิงลพบุรีไม่แผ่ว ยกพวกฉีกป้ายต่อต้าน ไม่สนชาวบ้าน

ลิงลพบุรี เหิมเกริมไม่หยุด! ยกพวกฉีกป้ายต่อต้านทิ้ง ชาวบ้านไม่ทนแห่ติดป้ายเพิ่ม จนกว่ากรมอุทยานฯ จะมาจัดการ

4 สิ่งต้องระวัง! ห้ามวางไว้ปลายเตียง – มาดามฮวงจุ้ย

ฮวงจุ้ยห้องนอน อ.นภัสวรรณ จิรเจริญเวศน์ เจ้าของเพจ มาดามฮวงจุ้ย ชี้ชัดทุกปัญหาพลิกชะตาด้วยฮวงจุ้ย เผย 4 สิ่งที่ห้ามวางไว้ปลายเตียง อาจส่งผลไม่ดีต่อสุขภาพ
ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • คุกกี้ที่จำเป็น
    เปิดใช้งานตลอด

    ประเภทของคุกกี้มีความจำเป็นสำหรับการทำงานของเว็บไซต์ เพื่อให้คุณสามารถใช้ได้อย่างเป็นปกติ และเข้าชมเว็บไซต์ คุณไม่สามารถปิดการทำงานของคุกกี้นี้ในระบบเว็บไซต์ของเราได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อการวิเคราะห์

    คุกกี้ประเภทนี้จะทำการเก็บข้อมูลการใช้งานเว็บไซต์ของคุณ เพื่อเป็นประโยชน์ในการวัดผล ปรับปรุง และพัฒนาประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ ถ้าหากท่านไม่ยินยอมให้เราใช้คุกกี้นี้ เราจะไม่สามารถวัดผล ปรับปรุงและพัฒนาเว็บไซต์ได้
    รายละเอียดคุกกี้

  • คุกกี้เพื่อปรับเนื้อหาให้เข้ากับกลุ่มเป้าหมาย

    คุกกี้ประเภทนี้จะเก็บข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับตัวคุณเพื่อเราสามารถนำมาวิเคราะห์ และนำเสนอเนื้อหา ให้ตรงกับความเหมาะสมกับความสนใจของคุณ ถ้าหากคุณไม่ยินยอมเราจะไม่สามารถนำเสนอเนื้อหาและโฆษณาได้ไม่ตรงกับความสนใจของคุณ
    รายละเอียดคุกกี้

บันทึกการตั้งค่า