กราดยิงโคราช | เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2563 เพจสำนักข่าว กรมประชาสัมพันธ์ได้เผยแพร่พระราชกระแสแสดงความเสียพระราชหฤทัย ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชกระแส ทรงแสดงความเสียพระราชหฤทัย ในเหตุการณ์กราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ชื่นชมเจ้าหน้าที่ จิตอาสาฯ และเห็นใจผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
ข้าพเจ้าและพระราชินีรู้สึกเศร้าสลดใจอย่างยิ่ง ที่ได้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นในประเทศของเรา ที่จังหวัดนครราชสีมา นับแต่บ่ายวันเสาร์ ที่ ๘ กุมภาพันธ์ ต่อเนื่องถึงเช้าวันอาทิตย์ ที่ ๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๓ อันทาให้ประชาชนผู้บริสุทธิ์จานวนมากได้รับอันตราย ได้รับบาดเจ็บ และเสียชีวิต.
ความสูญเสียในครั้งนี้ ได้สร้างความสะเทือนใจอย่างใหญ่หลวงให้แก่ข้าพเจ้าและพระราชินี ด้วยเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น ทั้งเป็นเหตุรุนแรงที่เกิดจากการกระทาอันโหดร้ายเกินกว่าผู้ใดจะคาดคิด ต่อชาวไทยด้วยกันอันเป็นทั้งเพื่อนมนุษย์และเพื่อนร่วมชาติ
ข้าพเจ้าและพระราชินีขอแสดงความเสียใจอย่างยิ่งกับครอบครัวของผู้ที่ต้องประสบความสูญเสีย และเห็นใจ ชื่นชมผู้ตกอยู่ในเหตุการณ์ ที่ต่างมีความอดทนเข้มแข็ง ตลอดจนช่วยเหลือและเกื้อกูลกัน ในยามคับขัน จนสามารถรอดพ้นอันตรายได้ ทั้งขอยกย่องผู้มีส่วนคลี่คลายสถานการณ์ครั้งนี้ทุกคนทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตารวจ ทหาร คณะกรมการจังหวัดและเจ้าหน้าที่
ฝ่ายปกครอง แพทย์ พยาบาล อาสาสมัคร มูลนิธิ หน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตารวจและทหาร ซึ่งนอกจากจะต้องมีความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวและเสียสละชีวิตอุทิศตนอย่างสูงแล้ว ยังได้แสดงถึงความสันทัดช่าชองในการปฏิบัติหน้าที่และการให้ความสาคัญอย่างยิ่งยวดต่อชีวิตความปลอดภัยของผู้ที่ตกอยู่ในอันตราย
ความร่วมมือร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกันของทุกคนทุกฝ่าย รวมทั้งประชาชนทุกคนที่ได้ให้ ความสนับสนุนอย่างเต็มที่ต่อทางการและเจ้าหน้าที่ ตลอดจนให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะกระทาได้ต่อผู้ที่บาดเจ็บและได้รับอันตราย ได้แสดงให้เห็นเป็นประจักษ์ถึงความรักความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และเพื่อนร่วมชาติ พร้อมทั้งพลังความสามัคคีซึ่งเป็นคุณธรรมอันสูงส่ง
ข้าพเจ้าและพระราชินีเชื่อมั่นว่า เราชาวไทยทุกคน สามารถผ่านพ้นเหตุการณ์ที่ร้ายแรงครั้งนี้ไปได้ ด้วยความมีสติ มีปัญญา และสามัคคี ตลอดจนด้วยความเสียสละเพื่อความผาสุข สงบ เรียบร้อยของส่วนรวมและประเทศชาติ
พร้อมทั้งทรงลงพระปรมาภิไธย
11 กุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2563