วันที่ 5 เม.ย. เพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิกระจกเงา ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก ในหัวข้อ “คืนวันเคอร์ฟิวของคนไร้บ้าน” โดยระบุว่า
“คืนที่เราออกแจกจ่ายหน้ากากและเจลแอลกอฮอล์ ที่ได้รับบริจาคมา ในวันเคอร์ฟิววันแรก ที่อนุสาวรีย์ชัยฯ ฝั่งเกาะพญาไท คนไร้บ้านทั้งหนุ่มและแก่ถูกเสียงไล่ตะเพิดของทีม รปภ. บริษัทที่เช่าใช้พื้นที่เกาะพญาไท ที่น่าจะเป็นพื้นที่สาธารณะแต่เดิมนั้นแหละ คนไร้บ้านที่หนุ่ม ๆ หน่อยก้าวเดินออกมาอย่างหัวเสีย แต่ก็ไม่อยากหาเรื่องใดใส่ตัวอีก
คนไร้บ้านสูงอายุเดินกระย่องกระแย่งออกไปพ้นจากชายขอบของพื้นที่ จุดหมาย คือ ป้ายรถเมล์ ไม่นานที่นั่งป้ายรถ ก็เต็มไปด้วยคนไร้บ้าน เสียงพูดออกลำโพงของตำรวจดังจากอีกเกาะหนึ่งของอนุสาวรีย์ เตือนให้คนเตรียมตัวกลับเข้าบ้านให้เร็วที่สุด
คนไร้บ้านชายหนุ่ม คนไร้บ้านชราสายตาเหม่อมองไปที่ไฟไซเรนของตำรวจฝั่งตรงข้าม ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าอีกไม่นานเขาก็จะมาจอดที่ตรงหน้า และไล่ตะเพิดเขาออกไปจากที่นั่งป้ายรถเมล์ ไล่ออกไปโดยไม่ต้องสนใจว่าเขาจะไปที่ไหน ชีวิตมีปัญหา แต่ร่างกายนั้น ไม่ได้สื่อออกมาทางสายตาว่าหวาดกลัว ร่างกายไม่ได้สั่นเทาใด ๆ ไม่มีอาการผุดลุกผุดนั่ง
เราเห็นแต่ตาเศร้า ๆ ก้มหน้าลงต่ำ หรือสายตาก็หันเหไปทางอื่น ช่างไร้จุดหมายยิ่งนัก เคยชินกับความไม่เท่ากัน เคยชินกับความหวาดกลัว เคยชินจนร่างกายไม่แสดงผลออกมาอีกแล้ว เพราะแสดงไปก็เท่านั้น ไม่มีใครแคร์ปฏิกิริยานั้น ไม่มีมีทางออก ทางเลือกอยู่จริง แม้ว่านี่คือการตื่นตัว เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ก็ตามที
เราได้แต่โทรไปประสานงานกับหน่วยงาน ที่เพิ่งได้ประชุมกันไปเมื่อเช้า ประชุมเรื่องกระบวนการช่วยเหลือพวกเขาพวกคนไร้บ้าน หน่วยงานนั้นส่งรถ และคนมา รถ และคนที่ไม่ได้บ่งบอกว่าเตรียมพร้อมไว้ใช้สำหรับงานโรคระบาดเอาซะเลย ผู้คนยังถูกยัดทะนานเข้าไปประมาณ 5 คน
ชายทั้ง 5 ส่วนใหญ่สูงอายุ สายตาของคนอื่น ๆ ที่หนุ่มกว่าเริ่มมองมาแบบมีคำถามว่า เขาจะได้ไปหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานร้องขอว่า ขอรอบเดียวพอนะ เพราะที่นั้นก็เต็มแน่นแล้ว เราเข้าใจทันที…
เราเข้าใจคำอ้างนี้ดี เพราะมันถูกอ้างมาตลอดระยะเวลาที่เราทำงานกับคนไร้บ้านมากว่า 6-7 ปี เราไม่โทษเจ้าหน้าที่แต่เราโทษไปที่ระดับนโยบาย นโยบายที่ไม่เคยเห็นหัวคนจน
รถคันสีชมพูเดินทางออกจากป้ายรถเมล์ไป ชายไร้บ้านที่เหลือถามเราว่า แล้วเขาต้องทำอย่างไร ตำรวจเขาจะจับพวกเราหรือไม่ ชายคนหนึ่งพูดแทรกเพื่อนขึ้นมาว่า “ไม่เป็นไร เราน่าจะเอาตัวรอดกันไปได้ อะไรแบบนี้ใช่ว่าไม่เคยผ่านซะเมื่อไหร่”
สิ้นประโยคบอกเล่า ชายหนุ่มคนเดิมขึ้นประโยคร้องขอตามทันที “ถ้าพี่มีที่อยู่ให้พวกเราได้อยู่ช่วงนี้ มาบอกพวกเราด้วยนะ” เราได้แต่รับปากด้วยเสียงดัง ๆ พอให้เขาได้มั่นใจ
เราได้แค่สัญญาอย่างรู้ตัวในความเล็กกระจ้อยของตัวเอง “เราจะทำสุดความสามารถให้พี่มีที่อยู่ปลอดภัยให้ได้ในช่วงนี้” พวกเขายิ้มแห้ง ๆ แต่ไม่ลืมบอกคำว่าขอบคุณมาก ๆ นะพี่ ออกมา”