บริจาคเงินออนไลน์ คนไทยและการทำบุญแทบจะเป็นของคู่กันอยู่เสมอ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เรามักเห็นคนไทยบริจาคเงินช่วยเหลือผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากในสังคม และการบริจาคเงินออนไลน์ช่วยเหลือก็เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ซึ่งในบางกรณีที่ผู้ที่ยากไร้ก็อาจไม่ใช่คนที่ลำบากจริงๆ และอาศัยโอกาสฉกฉวยหาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง โดยกรณีเช่นนี้เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง
กรณีแรก ลุงขายโจ๊ก วัย 78 ปี ที่มีความเป็นอยู่แบบอัตคัด จนทำให้ชาวโชเซียลสงสาร และแห่กันบริจาคเงินช่วยเหลือเป็นถึง 7 หลัก แต่ก็มีกระแสดรามาตามมาว่า ลุงอาจสร้างเรื่องขึ้นมาให้ตัวเองดูน่าสงสารเพื่อขอรับเงินบริจาค เช่นเรื่องที่ลุงเปิดบัญชีสาขาไกลบ้าน เรื่องขายโจ๊ก ที่ลุงอ้างว่าขายไม่ค่อยดี รวมทั้งข้อสงสัยว่า ลูกของลุงตายจากเหตุการณ์แพรวา 9 ศพจริงหรือไม่
กรณีที่ 2 เป็นเรื่องของลุงขับแท็กซี่ วัย72 ปี ที่ขาดรายได้ในช่วงโควิด19 แพร่ระบาด จนไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน และไม่มีเงินกินข้าว หลังโลกออนไลน์ได้แชร์คลิปของคุณลุง ขณะที่เล่าปัญหาความเดือดร้อนของตัวเองทั้งน้ำตา หลังคลิปดังกล่าวเปิดแพร่ออกไป ผู้มีน้ำใจต่างโอนเงินช่วยเหลือลุงขับรถแท็กซี่ ซึ่งทำให้ช่วงข้ามคืน คุณลุงรายนี้ได้เงินบริจาคมากถึง 8 ล้านบาท
แม้คุณลุงจะนำเงินที่ได้ไปบริจาคช่วยเหลือองค์กรต่างๆตามที่สัญญาไว้ ขณะเดียวกันก็มีคนตั้งข้อสังเกตต่างๆ ทั้งเรื่องที่ลุงไม่ได้อยู่บ้านเช่า ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว และเคยมีพฤติกรรมไม่จ่ายหนี้ด้วย ทั้งยังนำเงินบริจาคไปซื้อบ้านทันที โดยลุงก็ได้หายตัวไป หลังมีผู้คนขุดคุยข้อมูลต่างๆ
ส่วนกรณี ล่าสุดเป็นกรณีของแม่ปุ๊ก หรือ น.ส.นิษฐา วงวาล วัย 29 ปี ที่เปิดเพจขอรับเงินบริจาคช่วยเหลือ น้องอมยิ้มและน้องอิ่มบุญ ที่ป่วยเป็นโรคประหลาด แต่น้องอมยิ้มก็ได้เสียชีวิตเมื่อธันวาคม ปีที่ผ่านมา จนกระทั่งมีชาวเน็ตจับสังเกตพฤติกรรมผิดปกติของแม่ปุ๊ก ทั้งการเปลี่ยนชื่อนาม-สกุล 4 ครั้ง เรื่องที่น้องอมยิ้มและน้องอิ่มบุญไม่ใช่ลูกแท้ๆ และการเปิด-ปิดเพจเฟสบุคของแม่ปุ๊ก
ขณะที่จากการตรวจ แพทย์ได้ตั้งข้อสงสัยว่าเด็กทั้ง 2 คน อาจได้รับสารพิษ และแม่ปุ๊กอาจเป็นคนวางยา ซึ่งในเวลานี้ ตำรวจได้จับกุมแม่ปุ๊กในข้อหารับไว้ซึ่งเด็กโดยมีความมุ่งหมายเพื่อเป็นการแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ พยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย ฉ้อโกงโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น และฉ้อโกงประชาชน
อ่านข่าวเพิ่มเติม