วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม 2563 นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดี กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย (พช.) เป็นประธานเปิดงาน และบรรยายพิเศษในหัวข้อ “สตรี Change for Good” ในโครงการกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี สร้างพลังสตรี สร้างความสุข สร้างรายได้สู่ชุมชน รุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 25 – 26 ธันวาคม 2563 โดยมีนายภูษิต ลัทธิธนธรรม ผู้ เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรบุคคล นางทรงลักษณ์ วรภัย ผู้ตรวจราชการกรม ปฏิบัติหน้าที่ ผู้อำนวยการสำนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี คณะผู้บริหาร เจ้าหน้าที่กรมการพัฒนาชุมชน พนักงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ประคณะกรรมการพัฒนาสตรีจังหวัด หัวหน้าคณะทำงานขับเคลื่อนกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ระดับจังหวัด/ตำบล/เทศบาล และกลุ่มอาชีพที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ซึ่งครั้งนี้เป็นการ ดำเนินการ รุ่นที่ 2 มีสมาชิกกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีจากภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคใต้ จัดขึ้น ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี
นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีในอนาคต นั้น คือการสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งทุน ในที่ประชุมแห่งนี้ พี่ๆ น้อง ๆ ล้วนอยากให้คนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้กว้างขวางมากขึ้น ต้องมีใจปรารถนาดี มีความรัก รักครอบครัวเรา รักสตรีไทยในพื้นที่ที่เรารับผิดชอบขับเคลื่อนผ่านกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี ถ้าเริ่มต้นที่ใจ สิ่งที่จะ Change for good ก็ได้ผลเกินครึ่งแล้ว หลักการที่สำคัญ คือ ใจเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้าใจบอกว่าเราจะต้องทำ ต้องรู้ ต้องช่วยเหลือ เราก็จะทำตามใจเราปรารถนา วันนี้เรามีเป้าหมายไม่เปลี่ยนแปลง คือ ให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเป็นเครื่องมือช่วยเหลือคนไทย ได้มีโอกาสในการเอาทุนไปใช้ประกอบสัมมาอาชีพ สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัว ให้กับสตรีไทย ซึ่งก็ล้วนเป็นญาติ ๆ ของเรา เราต้องไปพูดคุย ทั้งเรื่องการรวมกลุ่ม เพื่อคิดเรื่องมาหากิน เช่น กลุ่มทำขนม กลุ่มปลูกพืชผักสวนครัว กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีทำให้พวกเราเข้าถึงได้ง่าย กลุ่มละ 3 คน เสนอสิ่งที่อยากให้ทำ ให้มีต้นทุนดอกเบี้ยต่ำ 0.1% ต่อปี หรือเพียงแสนละร้อยบาทต่อปีเท่านั้น
กรมการพัฒนาชุมชน ทำให้เราคิดเรื่องรวมกลุ่มประกอบอาชีพดอกเบี้ยต่ำ ถ้าทำตามหลักเกณฑ์จะไม่มีหนี้เสีย เราลงทุนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้ลงทุนหนัก เราทำตามความถนัดของเราอยู่แล้ว คนที่พลาดพลั้งไปทำให้หนี้เสีย ส่วนหนึ่งเพราะเข้าใจผิดคือคิดว่า เงินกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีคือเงินฟรี ส่วนหนึ่งคือฝากคนอื่นไปคืนแล้วถูกยักหยอกไว้ ส่วนหนึ่งคือเอาไปลงทุนแล้วขาดทุน เอาไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ขาดทุนแล้วเป็นดินพอกหางหมู มีหลายเหตุผล เราคุยกันมาตั้งแต่ปีที่แล้ว ให้พวกเราไปทำความเข้าใจว่า เงินกองทุนนี้เป็นทุนที่ช่วยให้พี่น้องสตรีไทย ให้มีโอกาสดีของชีวิต ซึ่งคือคนทุกเพศทุกวัยในครอบครัว เพราะสังคมไทยอยู่ได้เพราะผู้หญิง
ถ้าหากเราทำให้กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเสื่อมเสียเพราะหยิบยืมไปแล้วไม่คืนเงิน จะเสียโอกาส รัฐบาลก็จะมองว่าไม่ได้เรื่องแล้วต้องล้มเลิกไป ไม่อยากให้หมดไปในยุคเรา ดังนั้น เราต้องไปพูดคุยสร้างความเข้าใจ สร้างทีม เช่น ทีมอำเภอ พัฒนาชุมชน ตำรวจ อัยการ ไปชี้แจงว่า เป็นเงินหลวง เป็นของส่วนรวม เรื่องดอกเบี้ยปรับเราคุยกันได้ ค่อย ๆ ผ่อนก็ได้ ระบบระเบียบที่จะให้คนกลับตัวเป็นคนดียังมีอยู่ เรามีการปรับโครงสร้างหนี้ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี คือ เราได้พาทีมไปพูดคุยเจรจา อันเกิดจากสาเหตุต่างกัน รัฐบาลมองว่าสตรีไทยรับผิดชอบ เพราะรู้ว่าสตรีรักศักดิ์ศรีรักครอบครัว ดังนั้น เรื่องดอกเบี้ยท่วมต้นเราให้ช่วยกันได้ เป็นการเปิดโอกาส และที่สำคัญอย่าปล่อยให้เรื้อรัง เราต้องโชว์เห็นว่า สตรีไทยมีความรับผิดชอบ ไม่อยากเห็นว่ากองทุนล้มเลิกเพราะหนี้เสียเยอะ ช่วยกันดูแล รักษาชื่อเสียง ช่วยสงเคราะห์สมาชิกของเราด้วย เช่น นอนป่วยติดเตียง อาจจะจัดกฐิน ผ้าป่า จัดกิจกรรมต่าง ๆ หาเงินส่วนรวมมาช่วยล้างหนี้ หรือจะทำเหมือนของจังหวัดชียงราย คือ มีการตั้งกองทุนบริจาคสะสม ช่วยเหลือให้หยิบยืมเวลาขาดทุนแล้วเอาไปใช้หนี้กองทุนสตรีก่อน เป็นกองทุนสำรอง
นายสุทธิพงษ์ฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า เรื่องที่สำคัญขอย้ำ คือการมีทีมในการดูแลสมาชิกตั้งแต่แรกเริ่ม ช่วยกลั่นกรองโครงการ พูดคุย ช่วยกันดูรายละเอียดโครงการ อนุมัติไปแล้วต้องมีการติดตาม ไปเยี่ยม ไปพูดคุย ต้องมีตัวแทนของกรรมการที่ใกล้ชิด ไปด้วยตัวเองหรือตั้งตัวแทนคอยเป็นหูเป็นตา ประธานสามารถตั้งคณะทำงานติดตามทุกหมู่บ้านได้ แล้วแต่จะมีจิตอาสา ตั้งไลน์กลุ่มส่งรายงานในไลน์กลุ่มได้ มีปัญหาก็หาทางช่วยเหลือกันได้ เป็นการ change for good ในการแก้ปัญหา เมื่อเขาอยากพูดคุยปัญหาก็จะมีทีมช่วยเหลือ เช่น การประกอบอาชีพ สมาชิกก็จะมีกำลังใจ รู้สึกอบอุ่น เงินของกองทุนก็จะประสบความสำเร็จ มาตรการเหล่านี้เป็นเชิงบวก มาตรการเชิงลบคือการดำเนินคดี ในปี 2564 คดีอาญาอาจจะต้องเอามาดำเนินการ คดีอาญาก็ไม่อยากให้มี แต่สมาชิกที่ไม่ใช้หนี้จะทำให้กองทุนล้มเลิกไป ท้ายที่สุดก็จำเป็นต้องฟ้อง ตอนนี้เรามีนิติกรจังหวัดละ 1 คน ไม่ใช่ให้ไปดำเนินคดี ให้ไปช่วยเหลือ เช่น ช่วยทำสัญญา ช่วยเรื่องการประนีประนอมกัน เป้าหมายคือเราจะ change for good ถ้าในเดือนเมษายนนี้หนี้เสียลดต่ำลง กรมฯ จะทำเรื่องขอขยายวงเงิน จะได้เพิ่มโอกาสในชีวิตมากขึ้น จังหวัดไหนหนี้เสียเยอะจะใช้เป็น KPI ในปรับลดเงินอุดหนุนโดยดูตามเปอร์เซ็น จังหวัดที่หนี้เสียน้อยก็เพิ่มเงินอุดหนุนให้มากขึ้น ขอฝากให้พวกเราช่วยกัน เรื่องนี้มีนัยที่จะทำให้พี่ ๆ น้อง ๆ เรามีโอกาสดีของชีวิตเพิ่มมากขึ้น” อธิบดี พช. กล่าว