สำนักข่าวบลูมเบิร์ก วิเคราะห์ว่า ระบบ ประกันสังคมไทย เงินอาจหมดลงใน 15 ปี ซํ้ามีการให้เงินบำนาญแย่ติดอันดับต้นๆของโลก
สำนักข่าวบลูมเบิร์กของประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลสำรวจว่า ระบบสาธารณสุขของไทยมีต้นทุนที่เพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ย 12% ต่อปี แต่รายได้ของประชากรกลับไม่สมดุล มากไปกว่านั้นระบบประกันสังคมของไทยถ้าไม่มีการปรับปรุงด้านภาษี เงินจะหมดภายใน 15 ปีเท่านั้น โดยเป็นสิ่งที่น่ากังวลอย่างมากสำหรับอนาคต ซึ่งสัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มขึ้นเป็น 25.1% หรือ 16 ล้านคนในปี 2578 และในอีก 15 ปีข้างหน้าอัตราส่วนผู้สูงอายุในไทยจะกลายเป็น 1:4 หมายความว่า เดินไปเจอคน 4 คนจะเป็นผู้สูงอายุ 1 คน
ทั้งนี้ ส่วนต่างเงินสมทบที่อาจลดลงกว่า 14% คือหนึ่งในปัญหาใหญ่ เนื่องจากหากมีผู้สูงอายุมากขึ้น แต่มีแรงงานเข้าระบบประกันสังคมน้อยลง เงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคมย่อมลดลงตาม แต่ต้องจ่ายเงินบำนาญเพิ่มทุกเดือนๆ สัดส่วนเงินไหลเข้า-ออกจึงไม่มีความสมดุลย์กัน และอายุผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นก็เป็นอีกปัจจัย เพราะผู้ประกันตนจะได้บำนาญเมื่ออายุ 55 ปี แต่อายุเฉลี่ยของคนไทยปัจจุบันอยู่ที่ 75 ปี เท่ากับว่าประกันสังคมต้องจ่ายบำนาญเฉลี่ยต่อไปอีก 20 ปี หักลบกับจำนวนที่ส่งเงินสมทบ 15 ปีแล้วยังมีส่วนต่างอยู่ 5 ปี
นอกจากนั้น อาจนำมาซึ่งอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ เมื่อเว็บไซต์บลูมเบิร์ก เปิดเผยรายงาน ดัชนีบำนาญโลกเมลเบิร์น เมอร์เซอร์ 2562 ที่ศึกษาความพร้อมของระบบบำเหน็จบำนาญใน 37 ประเทศทั่วโลก ผ่านการประเมินด้วยเกณฑ์ต่างๆ กว่า 40 เกณฑ์ เช่น สิทธิประโยชน์ของวัยทำงาน การเก็บออม ความเป็นเจ้าของบ้าน การเติบโตของสินทรัพย์ สินทรัพย์รวม ความครอบคลุมของระบบบำเหน็จบำนาญ ประชากรศาสตร์ การเติบโตของเศรษฐกิจ โดยรายงานชิ้นนี้ จัดให้เนเธอร์แลนด์และเดนมาร์ก เป็นประเทศที่มีระบบรายได้รองรับการเกษียณอายุของพลเมืองดีที่สุดในโลก ทั้งแง่ของคุณภาพและความยั่งยืน ตามมาด้วย ออสเตรเลีย ฟินแลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ สิงคโปร์ นิวซีแลนด์ แคนาดา และชิลี
ขณะที่ประเทศไทยกลับอันดับอยู่รั้งท้ายตาราง ถูกจัดให้รวมกลุ่มประเทศในเกรด D ได้รับคะแนนภาครวม 39.4 คะแนน ซึ่งแม้ไทยจะมีระบบเงินบำเหน็จประกันสังคม สำหรับผู้ประกันตน มีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่นายจ้างสามารถเข้าร่วมได้ตามความสมัครใจ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์เพื่อการออมอื่นๆ อาทิ ประกันชีวิต กองทุนอาร์เอ็มเอฟ แต่ผู้จัดทำดัชนีชี้วัดก็ยังแนะนำให้ไทยเพิ่มระบบบำนาญที่มีความครอบคลุมมากขึ้น รวมถึงเพิ่มการสนับสนุนผู้สูงวัยที่มีรายได้น้อย และให้คำแนะนำเรื่องเกณฑ์ขั้นต่ำ ในการเก็บออมเงินเพื่อการเกษียณอายุให้มากขึ้นกว่านี้