ศรีสุวรรณ จรรยา จวก ผู้จัดงาน วิ่งไล่ลุง -เดินเชียร์ลุง อย่าอ้างเป็นกิจกรรมกีฬาไม่เอี่ยวการเมือง ชี้ขนาดเด็กอมมือยังรู้ เตือนนักการเมืองหนุนหลัง อาจเข้าข่ายขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรม
เมื่อวันที่ 9 ม.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เปิดเผยว่า มีข้อถกเถียงกันอย่างมากกรณีการจัดกิจกรรม “วิ่งไล่ลุง” และ “เดินเชียร์ลุง” จำเป็นที่จะต้องแจ้งหรือขออนุญาตในการจัดงานต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หรือไม่นั้น เห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมทางการเมือง และไม่ใช่กิจกรรมทางการกีฬาเฉยๆ ดังนั้นการกล่าวอ้างว่าเป็นเพียงแค่กีฬา ไม่จำเป็นต้องขออนุญาตจากพนักงานเจ้าหน้าที่นั้น เป็นพวกศรีธนญชัยที่พยายามหาเหตุผลมากล่าวอ้าง เพื่อเลี่ยงที่จะปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ทั้งๆที่ปุถุชนทั่วไป หรือเด็กอมมือก็รู้ว่าเป็นเรื่องการเมือง
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า การจัดกิจกรรมทางการเมืองสามารถกระทำได้ตามที่รัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 44 บัญญัติไว้ แต่ต้องกระทำโดยสงบและปราศจากอาวุธ เพื่อรักษาความมั่นคงของรัฐ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมดันดีของประชาชน หรือเพื่อคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่นที่อาจไม่ชอบกิจกรรมดังกล่าวด้วยนั่นเอง ดังนั้นจึงต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ 2558 โดยผู้จัดหรือแกนนำจะต้องแจ้งหัวหน้าสถานีตำรวจในท้องที่ที่จะจัดเสียก่อน เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ออกมาอำนวยความสะดวกในการจัดกิจกรรม หากเจ้าหน้าที่ไม่อนุญาตก็สามารถร้องหรืออุทธรณ์ไปยังผู้บังคับบัญชาได้ภายใน 24 ชม. และอาจนำไปสู่การฟ้องศาลปกครองเพื่อคุ้มครองสิทธิได้
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่า กิจกรรมดังกล่าวจะต้องไม่กีดขวางการจราจร ตาม พ.ร.บ.การจราจรทางบก 2522 และจะต้องมีการขออนุญาตใช้เครื่องขยายเสียง ตาม พ.ร.บ.ควบคุมการใช้เสียง และเครื่องขยายเสียง 2493 และต้องขออนุญาตเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตาม พ.ร.บ.การสาธารณสุข 2535 เสียก่อนเพราะอาจมีเหตุรำคาญ และต้องปฏิบัติตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง 2535 เพราะหากฝ่าฝืนก็อาจมีโทษ หากไม่แจ้งมีโทษปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท และอาจมีโทษจำคุกหากไปจัดในที่ห้ามจัด
นายศรีสุวรรณ กล่าวด้วยว่า นักการเมืองและหรือพรรคการเมืองที่หนุนหลังไม่ควรทำตัวเป็นอีแอบคอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ถ้าเป็นพรรคการเมืองของประชาชนต้องกล้าเปิดเผยให้ประชาชนทราบ เพราะการจัดกิจกรรมทางการเมืองไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร เพียงแต่ต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนด และไม่ใช่ว่าอ้างสิทธิและเสรีภาพตามที่รัฐธรรมนูญให้การคุ้มครองแล้วจะกระทำการอย่างใดก็ได้เป็นความคิดที่ผิด อย่างไรก็ตาม หากนักการเมืองผู้ใดพูดและส่งเสริมให้กระทำเช่นนั้น อาจเข้าข่ายขัดต่อมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง