นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต อธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยสถานการณ์ปัญหาการ ฆ่าตัวตาย ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาว่า จากภาพรวมอัตราการฆ่าตัวตายของทั้งประเทศในปี 2562 อยู่ที่ 6.64 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือมีคนไทยเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 4,419 ราย ต่อปี โดยมีปัจจัยมาจากปัญหาด้านสัมพันธภาพ อาการป่วยกายและจิต สุรา และปัญหาด้านเศรษฐกิจ
ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2563 นี้ ซึ่งเริ่มมีการระบาดของโควิด-19 นั้น มีคนไทยฆ่าตัวตายประมาณ 2,551 ราย คิดเป็น 3.89 ต่อประชากรหนึ่งแสนคน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 22 เมื่อเทียบกับ 6 เดือนแรกของปี 2562 ที่มีคนฆ่าตัวตาย 2,092 ราย
ปัญหาด้านสัมพันธภาพยังคงเป็นปัจจัยลำดับแรก ที่เป็นสาเหตุการฆ่าตัวตาย ตามมาด้วยปัญหาอาการป่วยกายและจิต เศรษฐกิจ และสุรา ซึ่งการเพิ่มขึ้นในอัตรานี้มีความคล้ายคลึงกับการเพิ่มขึ้นในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้งเมื่อ 23 ปีก่อน ที่มีอัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-30 ในช่วง 3 ปีหลังเกิดวิกฤต
กรมสุขภาพจิตยังได้แสดงความเป็นห่วงการฆ่าตัวตาย ที่เกิดจากโลกโซเชียล แม้ว่าในปัจจุบันสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก จะป้องกันการถ่ายทอดสดและคลิปวิดีโอทำร้ายตัวเองหรือการฆ่าตัวตายออนไลน์มากขึ้นแล้ว แต่ยังคงพบข้อความสั่งเสีย บอกลา หรือการวางแผนทำร้ายตัวเอง ซึ่งกลุ่มคนโพสต์ข้อความเหล่านี้ควรได้รับความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตอย่างเร่งด่วน
ดังนั้นการศึกษาและพัฒนาระบบการทำงานกับ กองปราบปรามในด้านการป้องกันการฆ่าตัวตายเชิงรุกในครั้งนี้ จึงถือเป็นการเปิดมิติการทำงานรูปแบบใหม่ของงานด้านสุขภาพจิตของประเทศไทยในอนาคต ร่วมกับการให้บริการสายด่วนสุขภาพจิต 1323 ที่ช่วยเหลือพี่น้องประชาชนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกันกองปราบปรามร่วมกับกรมสุขภาพจิต และ Influencers ชื่อดังบนโลกออนไลน์ ทั้ง Drama-Addict, หมอแล็บแพนด้า, แหม่มโพธิ์ดำ และอื่นๆ ได้เริ่มพิจารณาระบบการส่งต่อข้อมูลบุคคลที่ส่งสัญญาณความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายบนโลกโซเชียล เพื่อให้ทางกองปราบปรามเร่งประสานสถานีตำรวจในพื้นที่รับผิดชอบเข้าช่วยเหลือบุคคลดังกล่าวได้อย่างทันท่วงที