หมอธีระ รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการใช้มาตรการล็อคดาวน์ของรัฐบาล และได้ชื่นชมการทำงานของรัฐบาลว่า
“11 คน…เลขสองหลักติดต่อกันเป็นวันที่ 2
รวมแล้วติดเชื้อไปทั้งสิ้น 3,076 คน
มีคนอยู่จำนวนหนึ่งที่มักเลี่ยงบาลี และกล่าวโทษว่ารัฐใช้ยาแรงเกินเหตุ ลิดรอนสิทธิเสรีภาพ บังคับล็อคดาวน์เป็นระยะเวลานาน จนลำบากกันถ้วนหน้า ด้วยการนำเสนอข่าวให้สาธารณะได้เข้าใจกันผิดๆ ว่า โรคระบาดไม่เห็นรุนแรงเท่าที่ได้มีการคาดการณ์ไว้หลายแสนคนเลย เอาเข้าจริงก็แค่สามพันเอง
คนประเภทเหล่านั้นน่าสงสารนะครับในสายตาของผม
การที่หลายต่อหลายคนรวมถึงรัฐบาลได้ทำ “คุณประโยชน์” ให้ ด้วยการรักษาชีวิต ป้องกันการติดเชื้อ จนควบคุมได้เหลือระดับพันนั้น น่ายินดีอย่างยิ่ง
ที่เราเหลือระดับหลักพันนี้ เป็นผลจากการที่รัฐตัดสินใจเชื่อคำแนะนำของทีมโรงเรียนแพทย์ ไม่เชื่อลมปากของเหล่าการเมืองและวงอำนาจเดิม
ตัดสินใจปรับเปลี่ยนวงจรบริหารจัดการ และปรับมาตรการให้เข้มข้นต่างจากเดิมราวฟ้ากับเหว อย่างทันเวลา
เราจึงไม่ติดเชื้อลามไปหลักแสน เหลือเพียงหลักพัน…โปรดเข้าใจไว้ด้วย
ถ้าไม่ปรับมาตรการ ณ เวลานั้น การติดเชื้อจะลามทวีคูณจนคุมไม่อยู่ และมีแนวโน้มบานปลายเหมือนอเมริกา ยุโรป หรือประเทศอื่นๆ ได้
นี่คือความจริงที่อธิบายว่า เหตุใดเราจึงคุมอยู่จนมีสถานการณ์ดีกว่าประเทศอื่นๆ หลายต่อหลายประเทศ
ยิ่งแถกันไปเท่าไหร่ ยิ่งเอาการเมืองการมุ้งมาป่วนมากเท่าไหร่ ยิ่งจะสำแดงให้เห็นชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า ประชาชนที่มีสติ มีปัญญา และติดตามสถานการณ์มาตลอด จะตัดสินใจได้ว่า เลือกตั้งครั้งถัดๆ ไป พรรคไหนคือเทพ พรรคไหนคือมาร อย่างแท้จริง เพราะสถานการณ์วิกฤติ คุกคามต่อชีวิตและสวัสดิภาพของประชาชนแบบโรคระบาดครั้งนี้ถือเป็นตัวพิสูจน์”การตัดสินใจ”ของคน
คนจะดีหรือไม่นั้นดูกันตอนยามวิกฤติที่คุกคามชีวิต
ว่าเอาเข้าจริงแล้ว ให้ความสำคัญกับชีวิต หรือให้ความสำคัญกับการช่วงชิงโอกาสหาเสียง เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น
บาปกรรมมากนะครับ
เอาล่ะ…ช่วงนี้เรากำลังจะปลดล็อคระยะที่สาม ส่วนตัวแล้วผมรอฟังศบค.ว่าจะวางแผนปลดล็อคอะไร อย่างไรบ้าง
อยากเน้นให้ระมัดระวังในการใช้ชีวิตมากๆ นะครับ รักตัวเอง รักครอบครัว ก็ควรใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อยๆ รักษาระยะห่างจากคนอื่น พบปะคนให้น้อยลงสั้นลง ใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น เพื่อที่จะรักษาเนื้อรักษาตัว รอเวลาในการพัฒนายาและวัคซีน
ศบค.ไม่ควรสู้ศึกหลายด้านในแต่ละครั้ง
ระยะสาม ควรปลดเฉพาะกลุ่มกิจการที่แน่ใจว่ามีมาตรการป้องกันดีเพียงพอ และปลดการเดินทางระหว่างจังหวัด
สู้แค่นี้สำหรับระยะที่สามก็น่าจะพอแล้ว อย่าเพิ่งไปแตะเรื่องการโปรโมทการท่องเที่ยวเลยครับ
สำหรับพวกเราทุกคน การปลดล็อคโรงหนัง ฟิตเนส และโรงเรียนนั้น ขอให้พิจารณาให้ดีถึงความจำเป็น และป้องกันตัวเองไว้เสมอ
ในเดือนมิถุนายน น่าจะมีการเคลื่อนย้ายของประชากรมากขึ้นมาก การพบปะกันก็จะเยอะขึ้น และแน่นอนว่าความเสี่ยงจะสูงขึ้น เพราะเราไม่รู้ว่าคนที่เราเจอนั้นเค้าติดเชื้ออยู่ไหม คนติดเชื้อ 20-30% จะไม่มีอาการ
เป็นกำลังใจให้ทุกคนครับ
#โรคติดต่อจะไม่ติดต่อถ้าเราไม่ติดต่อกัน
ประเทศไทยต้องทำได้ครับ…”