โควิด-19 วันที่ 26 เมษายน รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ข้อความบนเฟซบุ๊ก “Thira Woratanarat” โดยระบุว่า
“รศ.นพ.ธีระ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และรศ.ดร.พญ.ภัทรวัณย์ วรธนารัตน์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล บอกตรง ๆ ว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่เราจะเห็นคลื่นระลอกที่ 2 ตามมาหลังจากการปลดล็อค ในลักษณะคล้ายสิงคโปร์และญี่ปุ่นผสมกัน ถามว่าเหตุใดจึงมีความเห็นเช่นนั้น สิงคโปร์ระบาดหนักระลอกสอง เน้นเกิดในกลุ่มที่เป็นคนต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศ ญี่ปุ่นระบาดหนักระลอกสอง เน้นเกิดในกลุ่มที่มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เสี่ยงต่อการแพร่เชื้อ ทั้งจากการทำงานและชีวิตส่วนตัว
หากมองอนาคตอันใกล้ จากข่าวสารที่ฟังจากสื่อสังคม เกี่ยวกับแนวทางการปลดล็อคที่หลายฝ่ายกำลังชงและผลักดันไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตด้านการกิน การช็อป เสริมสวยตัดผม ท่องเที่ยว ตลอดจนการเปิดกลุ่มธุรกิจอุตสาหกรรม แนวทางดังกล่าวต้องรอบคอบอย่างยิ่ง หากตัดสินใจเปิดเร็วโดยไม่พร้อม เราจะเจอทั้งการระบาดในกลุ่มคนงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงาน ทั้งในโรงงาน ก่อสร้าง และงานบริการหลากหลาย ยิ่งหากดูตัวเลขที่รัฐประกาศวันนี้ว่า ผู้ติดเชื้อรายใหม่พุ่งขึ้นเป็น 53 คน ไม่ว่าจะอ้างว่าเป็น active case finding ซึ่งแปลว่ามุ่งเป้าไปเสาะหาหรือตรวจหาก็ตาม แต่สุดท้ายคนกลุ่มใหญ่ที่เจอ คือ กลุ่มคนต่างด้าวนั่นเอง ในขณะเดียวกันการติดเชื้อจากการใช้ชีวิต ทั้งที่ทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวนั้น แน่นอนว่ายิ่งอยู่ในเมือง ยิ่งแออัด ยิ่งเสี่ยงสูง เชื่อขนมกินได้เลยว่า ไม่ว่าจะพลิกมองมุมใด จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่น่าจะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน หลังปลดล็อคราว 7-10 วัน
สิ่งที่เราพอจะทำกันได้ คือ 1. รัฐควรหน่วงเวลาการปลดล็อค ให้มีจำนวนเคสน้อย ๆ ที่สุดเท่าที่จะทำได้ คำแนะนำของผมยังคงเดิมคือ ดีเดย์ปลดเมื่อแตะ 5% ราวกลางเดือนพฤษภาคม เพราะ ณ ตอนนั้น เคสหลงเหลือที่ต้องการการดูแลรักษาในโรงพยาบาลจะเหลือน้อยลงมาก ทำให้ระบบสาธารณสุขมีเวลาพัก และเตรียมรับระลอกสอง รวมถึงมีช่วงเวลาในการเคลียร์ ชดเชยระบบดูแลรักษาคนไข้โรคอื่น ๆ ให้ลงตัว 2. คนที่อาศัยอยู่ในเมือง เช่น กรุงเทพมหานคร และเทศบาลเมืองต่าง ๆ ทั่วประเทศ จง “Keep low profile” หากทำได้ กล่าวคือ ยังยืดหยัดที่จะอยู่นิ่งกับที่ ออกจากบ้านเท่าที่จำเป็น ทำงานที่บ้านให้มาก ๆ ไปที่ทำงานน้อย ๆ เน้นการทำงานติดต่อทางออนไลน์ หากต้องออกจากบ้าน ต้องใส่หน้ากากเสมอ ล้างมือบ่อย ๆ อยู่ห่างจากคนอื่น ๆ และรีบทำธุระให้เสร็จโดยเร็ว สรุป คือ ทำตัวให้เป็นไปตาม New Normal = New “Me” จนเป็นนิสัยฝึกตัวเราและสอนลูกหลานให้ทำ เพราะจะอยู่รอดได้อีกเป็นปีต้องมีพฤติกรรมอย่างนี้ ข้อสองนี้มีไว้เพื่อรักษาตัวเองและครอบครัวของคนที่ยังนิ่งได้ ให้อยู่รอดปลอดภัย เพื่อคอยช่วยเหลือคนในสังคมที่ไม่มีทางเลือกแล้วเกิดได้รับเชื้อมาหลังปลดล็อคในอนาคต ซึ่งจะมากแค่ไหน จะน้อยกว่า เท่ากับ หรือมากกว่าสิงคโปร์หรือญี่ปุ่นนั้น ไม่มีใครตอบได้
จากข้อมูลที่เราเห็น ตอบได้ว่ามีโอกาสสูงแน่ ๆ แต่ความเห็นส่วนตัวน่าจะเป็นแนวโน้มน้อยกว่าหรือเท่ากับสองประเทศนั้น เพราะความหนาแน่นประชากรของเราน้อยกว่าเค้าอยู่บ้าง
#NewNormal_NewMe #StayHome #ใส่หน้ากากล้างมือบ่อย ๆ อยู่ห่างจากคนอื่น
ประเทศไทยต้องทำได้… เอาใจช่วยทุกคนครับ…”