เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ผอ.ศรชล.) ได้มอบหมายให้
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (รองผอ.ศรชล.) เป็นประธานในการประชุมคณะกรรมการบริหารศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ครั้งที่ 1 โดยมีพลเรือเอก ชาติชาย ศรีวรขาน เสนาธิการทหารเรือ ในฐานะเลขาธิการ ศรชล. พร้อมด้วยนายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เป็นผู้แทน ทช. ตลอดจนคณะผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมประมง กรมเจ้าท่า กรมศุลกากร ตำรวจน้ำ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ อีกทั้งผู้อำนวยการ ศรชล.ภาค และผู้อำนวยการ ศรชล.จังหวัด (ผู้ว่าราชการ 22 จังหวัดชายทะเล) เข้าร่วมการประชุม ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน เขตคลองสาน กรุงเทพมหานคร
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ ผู้บัญชาการทหารเรือ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล เปิดเผยว่า ศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล โดยมีคำย่อว่า “ศรชล.” ถูกยกระดับมาจากศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.เดิม) โดยถูกตั้งขึ้นตามมติที่ประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ ครั้งที่ 2/2540 เมื่อวันที่ 17 มี.ค. 40 และได้รับความเห็นชอบจาก ครม. เมื่อวันที่ 17 เม.ย.40 โดยได้จัดพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ เมื่อ 9 ม.ค. 41 ณ ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพเรือ (ศปก.ทร.) มีความมุ่งหมายเพื่อทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการประสานการปฏิบัติงานด้านการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล อันได้แก่ การมี เอกราช อำนาจอธิปไตย และสิทธิอธิปไตยทางทะเล ความสงบเรียบร้อย ความปลอดภัย และความเจริญรุ่งเรืองของชาติ อันเนื่องมาจากทะเล รวมทั้งความมั่งคั่ง มีเกียรติและศักดิ์ศรีในประชาคมระหว่างประเทศด้านกิจการทางทะเล และเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจการทางทะเลทุกๆ ด้าน ระหว่างส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับงานทางทะเล เพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่เกิดความซ้ำซ้อน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันอย่างต่อเนื่อง โดยมีกองทัพเรือเป็นศูนย์กลางในการประสานงานช่วยเหลือ และสนับสนุนการปฏิบัติของหน่วยงานต่างๆ ที่ปฏิบัติงานในทะเล ทั้งนี้ ทุกหน่วยงานยังคงปฏิบัติตามภารกิจของหน่วยงานเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนราชการที่เข้าร่วมใน ศรชล. แบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ หน่วยปฏิบัติการหลัก คือ หน่วยที่มีกำลังทางเรือที่สามารถออกปฏิบัติงานในทะเล ประกอบด้วย 6 หน่วยงาน ได้แก่ กองทัพเรือ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กองบังคับการตำรวจน้ำ กรมศุลกากร กรมเจ้าท่า กรมประมง และหน่วยปฏิบัติการร่วม คือหน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่กับกิจการต่างๆ ทางทะเล อาทิ กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงแรงงาน สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง กรมสรรพสามิต กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น
พลเรือเอก ลือชัย รุดดิษฐ์ รองผอ.ศรชล. กล่าวว่า สำหรับการจัดประชุมในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานที่ปฏิบัติงานใน ศรชล. และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบนโยบาย รวมทั้งชี้แจงโครงสร้างศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การแบ่งมอบหน้าที่
การวางแผน อำนวยการ ประสานงาน สั่งการ เป็นการบูรณาการร่วมกันของหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลภายใต้พระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.2562 ให้ไปในทิศทางเดียวกัน โดยเป็นตามวิสัยทัศน์ของ ศรชล.ที่ว่า “รักษาผลประโยชน์ชาติทางทะเล ให้มั่นคง มั่งคั่ง อย่างยั่งยืน” โดยภายในงานยังมีการจัดแสดงนิทรรศการเกี่ยวกับพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ. 2562 ,กรณีศึกษาการดำเนินการบ้านลอยน้ำของกลุ่ม Seasteading ,การแบ่งอำนาจรับผิดชอบแนวเขตแดนทางทะเลใหม่ให้แก่ 22 จังหวัดชายทะเล และผลงานความสำเร็จในการแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมายและแรงงาน ของศูนย์บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมงผิดกฎหมาย (ศปมผ.) จนนำไปสู่การปลดใบเหลืองจากสหภาพยุโรป
ด้าน นายปิ่นสักก์ สุรัสวดี รองอธิบดีกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กล่าวว่า กรมทรัพยากร
ทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกของหน่วยงานหลักของศูนย์อำนวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) มีภารกิจหลักในการคุ้มครอง ดูแล อนุรักษ์ ฟื้นฟู และบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยงานสนับสนุนทั้งด้านบุคลากร อุปกรณ์ วิชาการ พร้อมทั้งจัดเรือทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ประจำการอยู่ในสำนักงานบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 – 10 เข้าประจำการในหมวดเรือตรวจการณ์ของ ศรชล. เพื่อออกปฏิบัติงานบูรณาการร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ในภารกิจเกี่ยวกับการควบคุม ตรวจสอบ และเฝ้าระวัง
การทำประมงผิดกฎหมาย รวมทั้งการปฏิบัติภารกิจคุ้มครองและป้องกันการบุกรุกทำลายระบบนิเวศและทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งตามภารกิจหลักของกรมฯ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2560 จำนวน 90 ครั้ง ปีงบประมาณ พ.ศ. 2561 จำนวน 201 ครั้ง และปีงบประมาณ พ.ศ. 2562 จำนวน 138 ครั้ง ทั้งนี้ กรม ทช. ได้ดำเนินงานด้านการคุ้มครองและรักษาผลประโยชน์ทางทะเลร่วมกับ ศรชล. ตั้งแต่ปี 2560 – 2562 ได้มีการดำเนินงานในการออกเรือตรวจตราเฝ้าระวัง รวมจำนวน 429 ครั้ง การสนับสนุนเรือประมงที่ตรวจสอบ รวมจำนวน 7,056 ลำ พบแรงงานที่ตรวจสอบ รวมจำนวน 81,615 คน และผลคดี IUU รวมจำนวน 188 คดี โดยรวมผลการดำเนินงานฯ ทั้ง 3 ปี จำนวนทั้งสิ้น 89,288 ครั้ง