คนคลอดลูกสมัยก่อน เป็นหัวข้อที่น่าสนใจในวิถีชีวิตของคนรุ่นปู่ย่าตายายความมหัศจรรย์ของอาชีพที่เรียกว่า “หมอตำแย” อาจสูญหายไปแล้วจากสังคมปัจจุบันแต่ในอดีตนี่คือบุคคลที่ได้รับการยกย่องและอยู่คู่กับชนชาติไทยมายาวนาน
ในอดีตนั้นคนคลอดลูกสมัยก่อนจะใช้บริการหมอตำแยแทบทั้งสิ้นเรื่องราวของศาสตร์ที่จำกัดเฉพาะสตรีเท่านั้นโโยมีหน้าที่หลักคือการทำคลอดและทำความสะอาดเด็กแต่ยังมีอีกหน้าที่คือ “หมอเป่า” ที่จะรับบทพิธีกรรมการเอาแม่ลูกอ่อนอยู่ไฟ รวมถึงการบำบัดโรคภัยต่างๆ ควบคู่กันไป
คนที่จะมาทำหน้าที่นี้เพื่อดูแลคนคลอดลูกสมัยก่อนต้องผ่านพิธีครอบครูให้มั่นใจว่าบุคคลผู้นั้นมีคุณธรรมเพียงพอที่จะดูแลแม่และเด็กแต่อย่างไรก็ตามไม่มีข้อห้ามในเรื่องการทำแท้งหรือทำหมันเพราะคนโบราณถ่ายทอดวิธีการจับมดลูกพลิกด้วยวิธีต่างๆก็สามารถทำให้เด็กหลุดออกมาง่ายดายจึงเข้าใจได้ว่ามีความจำเป็นที่ผู้รับบทหมอตำแยจะต้องมีคุณธรรมและวิจารณญาณสูง
ขั้นตอนคนคลอดลูกสมัยก่อนมีหลายรูปแบบโดยมีการระบุว่าถ้าเด็กหัวออกมาก่อนจะง่าย แต่หากเป็นมือและขาออกมานี่ต้องใช้พยายามสูง เช่นเดียวกับรกที่หมอจะระวังมากไม่ให้ขาดเพราะเสี่ยงต่อการติดเชื้อ เมื่อคลอดใหม่ๆจะทำการตัดสายสะดือมัดด้ายสีดำสองจุดก่อนตัดด้วยหอยกาบจะไม่ใช่มีดจากนั้นอาบน้ำเด็กแล้วพาไปนอนกับกระด้งหรือฉะเนียง จวมบูน (บายศรีเชิญครู) ที่ประกอบด้วย กะลาใส่ขี้เถ้า หมาก 4 ลูก ใบพลูหรือใบขนุนวาง 4 ทิศ หญ้าคา และเทียน 2 เล่ม
คนคลอดลูกสมัยก่อนนอกจากเด็กแล้วตัวแม่เองก็มีพิธีหลังคลอดคือให้นอนราบกับพื้นรอน้ำร้อนที่ต้มจากรากทมึ๊ย (ต้นป่าน) เกลือ ใบมะขาม เปลือกมะขาม ให้แม่กินและอาบ ใต้ถุนบ้านขุดหลุมใส่กิ่งเล็บเหยี่ยวรองน้ำที่อาบพร้อมแหปิดป้องกันผีปอบที่จะมากินเลือดหรือรกจากการชำระล้าง
อีกจุดหนึ่งที่เปรียบเสมือนกฎเหล็กคือห้ามบอกพ่อแม่หรือครอบครัวนั้นๆว่าเด็กที่จะเกิดเป็นเพศชายหรือหญิงเพราะหมอสามารถคลำดูก็รู้เพศเด็กเมื่ออายุครรภ์ประมาณ 8 เดือน นี่คือวิถีชีวิตของคนคลอดลูกสมัยก่อนที่ปัจจุบันจางหายไปตามกาลเวลาแต่ควรค่าแก่การศึกษา