หมอธีระวัฒน์ยัน อาการโควิด รักษาหายได้ แต่ต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็วต้ั้งแต่เริ่มมีอาการ และคนไข้ต้องมีจำนวนที่ไม่มากเกินความสามารถหมอ
ศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา คณะที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา Thiravat Hemachudha เกี่ยวกับการใช้ยายาฟาวิพิราเวียร์ ในการรักษาผู้ป่วย อาการโควิด ตามโมเดล experimental model ที่เคยได้นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในไทย เมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2563
โดยครั้งแรกใช้ห้าวันตามสูตร ใช้ในไข้หวัดใหญ่ของญี่ปุ่นแล้วหลังจากนั้น อาจารย์นายแพทย์ วิศิษฎ์ โรงพยาบาลบำราศ และอาจารย์หมอแก้ว รองอธิบดี กรมควบคุมโรค จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็น 10 วัน และใช้ขนาด 8X2 ในวันแรก และ 3X2 ในวันที่ 2-10ทั้งนี้ถ้าหากในกรณีที่ให้ยาห้าวันจำนวนของไวรัสจะกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีก จึงปรับเป็น 10 วัน
อ่านข่าว : ผวา! พบโรคปริศนา Disease X ระบาดในคองโก อาการคล้ายอีโบลา ส่อแววรุนแรงกว่าโควิด
ผลสรุปว่าอาการของคนไข้ดีขึ้นมาก ถ้าให้ยาเร็ว ก่อนที่การติดเชื้อจะจุดชนวน provoke neutrophil extracellular traps หรือ NETS ที่จะไปกระตุ้น วงจร ของ IL1 beta loop เกิดเป็น มรสุมภูมิวิกฤติ cytokine storm ซึ่งในระยะนี้จะเริ่มมีการทำลายเนื้อเยื่อในอวัยวะต่างๆ เป็นแผลเป็นเยื่อพังผืด และต้องใช้ยาต้านการอักเสบรุนแรง จนถึง monoclonal antibody ต้าน TNF IL1 b. IL6 IL17/23 ชึ่งมักไม่ได้ผล โดยที่ในระยะนี้จำนวนไวรัสจะไม่มากแล้ว โดยที่ถ้ามีการอักเสบตั้งแต่ระยะแรกสามารถใช้ colchicine และ hydroxychloroquine ได้ผล
ทั้งนี้เนื่องจากเรามีแทบทุกสายพันธุ์ตั้งแต่เดือนมีนาคมและเมษายน ทั้ง G ต่างๆ สายพันธ์ G GR GH S L O V และ GV ในเดือน ตุลาคม ตัวที่มีการจับตามอง D614G มีมาตั้งแต่ มีนาคม เช่นกัน และความรุนแรงไม่จำเป็นที่สัมพันธ์กับ complement C5b-9 เสมอไป ดังนั้น สายพันธ์ต่างๆ ที่จะเข้ามาเรื่อยๆ ทั้ง อังกฤษ แอฟริกา เราเอาอยู่แน่ๆ
ปัญหาคือ ถ้าต้องรักษาเร็วหมายความว่าผู้ป่วยต้องไม่ล้นทะลัก เกินความสามารถของโรงพยาบาล ของบุคลากร และของอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และ ยา favipiravir เป็นต้น