มูลนิธิชัยพัฒนา เล่าเรื่องราวห้องเรียนธรรมชาติ หมู่บ้านเขาเต่า ระยะเวลากว่า 48 ปี จนถึงปัจจุบัน กลายเป็นชั้นเรียนธรรมชาติสำหรับเด็กนักเรียนผู้โชคดี
19 ส.ค. 63 เพจเฟซบุ๊ก มูลนิธิชัยพัฒนา ได้โพสต์รูปภาพและบทความจากวารสารมูลนิธิชัยพัฒนา ฉบับธันวาคม 2544 เล่าเรื่องราวห้องเรียนธรรมชาติ ที่ “หมู่บ้านเขาเต่า” “48 ปี” ที่ล่วงมา – จนถึงปัจจุบัน “ตะกาด” บริเวณ “เขาเต่า” กลายเป็นชั้นเรียนธรรมชาติสำหรับเด็กนักเรียนผู้โชคดี
โดยมีเนื้อหา ระบุว่า หมู่บ้านเล็กๆ ติดทะเลใกล้เขาที่มีรูปร่างลักษณะเหมือนเต่า ที่ตำบลหนองแก อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีชื่อที่เรียกกันว่า “บ้านเขาเต่า” ชาวบ้านที่นี่มีอาชีพประมงมาแต่ครั้งรุ่นปู่ย่าตายาย แต่ในสมัยนั้นชีวิตความเป็นอยู่ยากลำบากกว่าที่เป็นในปัจจุบันมาก ถนนหนทางก็ลำบาก เป็นดินเลนมีหลุมบ่อเต็มไปหมด ไม่มี “น้ำ” สำหรับดื่มกิน ต้องไปหาบมาจาก “ตาน้ำ” ที่มีอยู่ในหมู่บ้าน และยังไม่มีน้ำสำหรับการปลูกพืชอีกด้วย อีกทั้ง “ดิน” ก็ไม่เอื้ออำนวยต่อการเพาะปลูกเลย
… ในวันหนึ่งของปี 2496 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปบ้านเขาเต่า โดยรถจี๊บโปโล และรถยนต์พระที่นั่งจมเลนในตะกาด ทุกคนที่ไปในวันนั้นต้องลงมาช่วยกันเข็น ตะกาดนี้ เป็นภาษาท้องถิ่น หมายถึง เป็นที่ที่น้ำทะเลขึ้นมา เมื่อถึงเวลาน้ำลง พื้นที่ตรงนั้นก็กลายเป็นเลน ทำอะไรไม่ได้ แม้แต่ต้นไม้ก็ยังขึ้นไม่ได้ มีเพียงปูตัวเล็กๆ ที่เรียกว่า ปูเปี้ยว อยู่เต็มไปหมด
“หมู่บ้านเขาเต่า” จึงเป็นเสมือนโรงเรียนธรรมชาติแห่งแรก ที่ได้ทรงศึกษาปัญหาทั้งเรื่อง น้ำ และ ดิน โดยทรงเริ่มแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำจืดของชาวบ้านที่นี่เป็นลำดับแรก โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ 60,000 บาท แก่กรมชลประทาน ก่อสร้างทำนบดินปิดกั้นน้ำทะเลไม่ให้ไหลลงสู่ทะเล ทำให้เกิดเป็นอ่างเก็บน้ำสำหรับชาวบ้านได้ใช้ทั้งการอุปโภค บริโภค เลี้ยงปลา รวมทั้งเพื่อการเพาะปลูกพืชอีกด้วย
“อ่างเก็บน้ำเขาเต่า” แห่งนี้ จึงเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชดำริเรื่องน้ำ ที่ทรงเห็นความจำเป็นอย่างยิ่งยวดว่า …น้ำคือชีวิตของประชาชน…
เหตุการณ์ “รถจี๊บโปโลจมเลนในตะกาด” เดียวกันนี้ ยังเป็นจุดเริ่มต้นของ “การพัฒนาปรับปรุงดิน” ที่เสื่อมคุณภาพ ทรงสนพระทัยศึกษาปัญหา “ดินในตะกาด” ของบ้านเขาเต่าที่ไม่สามารถเพาะปลูกได้ ดังนั้น จึงทรงให้ผู้เชี่ยวชาญดินชาวต่างประเทศ ตรวจวิเคราะห์ดิน ซึ่งลงความเห็นเมื่อ 40 ปีที่แล้วว่า “เป็นดินที่พืชไม่ขึ้น เป็นดินที่เลวที่สุดในโลก”
บัดนี้ … ในบ่ายของวันที่ 6 ตุลาคม 2544 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังสถานที่แห่งนี้ อีกครั้งหนึ่ง แต่ในสถานภาพของ “ครู” ผู้เมตตา ทรงสอนเรื่อง ดินและน้ำ และธรณีวิทยาแก่คณะนักเรียนระดับมัธยมต้นและปลายผู้โชคดีของโรงเรียนวังไกลกังวล ที่ไม่อาจจะหาช่วงเวลาอันเป็นมงคลที่ประเสริฐกว่านี้ได้อีกแล้วในชีวิต เพราะ มีครู เป็น “ในหลวง”
“…ถ้าดินอยู่เฉยๆ ไม่ได้ปลูกอะไร มันไม่ทำงาน นี่มันทำงาน จะเห็นเป็นปมๆ ถ้าอยากให้ดีใส่ถั่ว…”
พระราชกระแสนี้ เป็นการสอนนักเรียนโรงเรียนวังไกลกังวลเกี่ยวกับดิน ที่บริเวณหน้าโรงเรียนเทศบาลเขาเต่า เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ที่ใครหลายคนคงเห็นและจำได้ดีว่า วันนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นครูสอนวิชาว่าด้วย “เรื่องดิน”
การสอนในครั้งนี้ เป็นพระราชประสงค์ให้เด็กนักเรียนมีโอกาสได้เรียนรู้จากสภาพความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นประสบการณ์ที่นอกจากจะได้ความรู้แล้ว ยังสามารถจดจำได้ดีและเข้าใจมากกว่าการเรียนรู้ภายในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทรงหาวิธีการแก้ไขปัญหาดินจาก “ดินที่เลวที่สุดในโลก” กลายเป็นดินที่สามารถ “ปลูกข้าวปลูกผัก” ได้
การปรับปรุงคุณภาพดินที่บ้านเขาเต่า ใช้วิธีการง่ายๆ ตามแนวพระราชดำริ
“..เอาทรายมาใส่ ประมาณ 50 ซม. หรือ 1 เมตร แล้วเอาดินเชิงเนินมาใส่…” เพื่อไม่ให้ออกซิเจนเข้าไปในดิน และจะได้พัฒนาดินนั้นได้
“…40 ปีกว่า 50 ปี มานี้เขาใช้อย่างนี้ เจาะลงไปเป็นดินที่เลว ใช้ไม่ได้ ปลูกหญ้าก็ไม่ขึ้น … หลายปี ดินมันก็สลายไป เปลี่ยนไปเป็นดินที่ใช้ได้ … ปลูกหญ้า ปลูกต้นไม้ … ทำให้ดินเปลี่ยนแปลง…”
ต่อมา เมื่อทรงศึกษาถึงศักยภาพของหญ้าแฝกว่ามีผลต่อการปรับปรุงคุณภาพดินด้วย ดังนั้น “…ใส่หญ้าแฝกไป หญ้าแฝกเจาะลงไปแล้วก็พาพวกจุลินทรีย์ลงไปด้วย … ดูดไนโตรเจน แล้วก็เปลี่ยนแปลงไปเป็นปุ๋ยไนโตรเจน เป็นปมๆ ทำให้ดินดีขึ้น…” ที่เขาชะงุ้ม จังหวัดราชบุรี เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่ทรงนำมาอธิบายแก่เด็กนักเรียน ว่า “…ที่เขาชะงุ้ม ทีแรกไม่ได้เป็นดิน เป็นหินลูกรัง … ก็ไปทำกลายเป็นดิน แล้วก็ปลูกพืชอะไรต่างๆ สามารถที่จะใช้ได้ เดี๋ยวนี้สบายมาก…”
“ยังไม่ได้เรียน” นักเรียนคนหนึ่งพูดขึ้น เมื่อทรงซักถามเกี่ยวกับเคมี
“อ้าว… ยังไม่ได้เรียน? เรียนเคมีมีทฤษฎี …น้ำ H2O H ไฮโดรเจน O ออกซิเจน H มี 2 … แล้วนี่ S ซัลเฟอร์ มาโดนออกซิเจน เป็น SO ผสมกับน้ำเป็น H2SO4 เป็นซัลฟูริค แอซิค ต่อไป…ถึงว่ามาทำนี่…ดร.พิสุทธิ์ เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญดิน เคมีดิน แล้วก็อันนี้มาใช้อะไรได้…ไม่ได้ ถึงว่าได้นี่ เราต้องปรับปรุง เราอยากทำตรงนี้ให้ดีขึ้น … ปรับปรุงให้เป็นดินที่ไม่มีความละเอียดพิเศษ ต้องใช้เวลาอย่างที่อาจารย์ว่า ดร.พิสุทธิ์ บอกว่ายิ่งใส่น้ำแล้วเอาน้ำออกจะยิ่งเปรี้ยว บอกทำอะไรไม่ได้ ปลูกข้าวปลูกผัก … ปลูกข้าวไม่ได้”
ทรงอธิบายเรื่องแกล้งดินเพิ่มเติม ว่า “…เราจะแกล้งดิน แกล้งดินให้ดินนั้นกลายเป็นโรงงานทำซัลฟูริค แอซิค …แล้วปลูกข้าว ขึ้นมานิดหนึ่ง … มันใช้ไม่ได้ … เอาน้ำออก รอให้น้ำเข้าก่อนแล้วปลูกใหม่ ขึ้นสูงสองเท่า … ทำอย่างนี้ที่ดินที่เราทำ แทนที่จะทำปีละครั้ง ปลูกข้าวปีละครั้ง เราไปปลูกข้าวปีละสามครั้ง … ให้ดินพักหน่อย แล้วปีต่อไปทำใหม่…”
และในที่สุด “…โครงการแกล้งดิน กลายเป็นส่งเสริมดินให้ดี…”
ก่อนเสด็จฯ กลับในวันนั้น เด็กนักเรียน พร้อมใจกันกราบพระบาท ด้วยสำนึกในพระเมตตาและพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงถ่ายทอดวิชาความรู้เกี่ยวกับการปรับปรุงคุณภาพดิน จากสิ่งที่ทรงประสบและแก้ไขปัญหาด้วยพระองค์เอง ณ ห้องเรียนธรรมชาติที่บ้านเขาเต่า นับเป็นมงคลแห่งชีวิตที่มิอาจลืมได้เลย
…ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ…