จากกรณีครูวิภา ที่เดือดร้อนจากการค้ำประกันให้ลูกศิษย์ไปกู้หนี้ กยศ. จนถูกยึดบ้านและที่ดินนั้น อ่านเพิ่มเติม
หลายครั้งภาระการค้ำประกันนี้ ก็เป็นเรื่องลำบากใจ ที่จะปฏิเสธ เพราะคนใกล้ตัวมาขอร้อง ทำให้เราต้องตกอยู่ในภาวะจำยอมแบบเสียไม่ได้ ดังนั้นก่อนจะค้ำประกันให้ใครนั้น เราควรจะพิจารณาอะไรบ้าง เพื่อเป็นการปกป้องสิทธิของตัวเอง
กฎเหล็ก 4 ข้อต้องรู้ ก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร
1. ไม่ควรค้ำประกันให้บุคคลที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว
ในกรณีนี้ สำหรับคนที่ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัว และผู้คำ้ประกันไม่ทราบถึงประวัติทางการเงินที่ชัดเจน หากเป็นไปได้ ควรจะให้ผู้ที่มาขอให้เราค้ำประกันนั้น แสดงข้อมูลรายรับ รายจ่าย รวมถึงหนี้สินที่มีให้เราได้รับทราบ เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจ และที่สำคัญผู้ค้ำประกันอาจจะลองไปสอบถามข้อมูลทางการเงินจากบุคคลใกล้ชิดของผู้ที่ขอให้เราค้ำประกัน อย่าเกรงใจที่จะปฏิเสธหากเราคิดว่ามีความเสี่ยง เพราะสุดท้ายคนที่รับภาระจำยอม หากว่าลูกหนี้เบี้ยวหนี้คือผู้ค้ำประกัน
2. ประเมินความสามารถตัวเองในการชำระหนี้แทนลูกหนี้
หากตัดสินใจที่จะเซ็นลายเซ็นเป็นผู้ค้ำประกันให้ใครแล้ว ผู้ค้ำประกันควรจะต้องประเมินถึงความสามารถในการชำระหนี้สินแทนลูกหนี้ ในกรณีที่เกิดการเบี้ยว หรือหนีหนี้ เพราะตามกฏหมายแล้ว ผู้ค้ำประกันมีภาระที่ต้องชำระหนี้แทนลูกหนี้อยู่แล้ว หากเป็นหนี้ก้อนใหญ่ ที่เราเองก็ไม่สามารถที่จะชำระแทนได้ ควรจะพิจารณาปฏิเสธแบบบัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น แต่หากเป็นหนี้มูลค่าที่ไม่เยอะมาก และเรามีความสามารถในการชำระแทน โดยที่ไม่ทำให้เราเดือดร้อนจนเกินไป ก็อาจจะพิจารณาเซ็นค้ำประกันได้
3. ต้องมั่นใจว่ารู้จักลูกหนี้ และคนใกล้ชิดลูกหนี้อย่างดี
หลายๆครั้งการเซ็นค้ำประกันให้กับคนสนิทนั้น มีความจำเป็นอย่างมากที่เราจะต้องรู้จักคนใกล้ชิดคนอื่นๆของลูกหนี้ด้วย หลายๆคนอาจจะลืมคิดไปว่า ในกรณีที่ลูกหนี้เบี้ยวไม่ชำระหนี้ ถ้าหากว่าเราไม่รู้จักคนอื่นๆ ที่อยู่แวดล้อมตัวของลูกหนี้ เราก็หมดโอกาสที่จะไปติดตามตัวลูกหนี้ให้กลับมารับผิดชอบหนี้สิน แต่หากว่ารู้จักครอบครัว คนใกล้ชิด เพื่อนสนิทของลูกหนี้ ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะสืบหาจนเจอตัวลูกหนี้ หรือแม้กระทั่งไปพูดคุยกับคนใกล้ชิดลูกหนี้ เพื่อให้เค้าช่วยรับผิดชอบ
4. สิทธิอันชอบธรรมของผู้คำ้ตามกฎหมาย
หากเจ้าหนี้มาบังคับให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้ โดยที่ยังไม่ได้มีการเร่งรัด หรือมีการกระทำการใดๆให้ลูกหนี้ชำระหนี้สินก่อน ผู้ค้ำประกันก็มีสิทธิที่จะยังไม่ชำระหนี้แทนลูกหนี้ได้ และถึงแม้ว่าเจ้าหนี้จะทวงถามจากลูกหนี้ก่อนแล้ว ถ้าผู้ค้ำประกันมีข้อมูลว่าลูกหนี้ยังมีทรัพย์สินอื่นที่จะพอชำระหนี้ได้ เจ้าหนี้ก็ต้องไปฟ้องคดีบังคับเอาทรัพย์สินจากลูกหนี้ให้จนถึงที่สุดก่อน ก่อนที่จะมาฟ้องผู้ค้ำประกัน