การเมืองสัปดาห์นี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการเดินหน้า แก้รัฐธรรมนูญ ของบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ ที่เริ่มเข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นเรื่อยๆ แต่อย่าเข้าใจผิดนะ นี่คือเพียงการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมา 1 ชุด เพื่อศึกษาปัญหาและแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญเท่านั้น และไม่ใช่ว่าสภาฯจะลงมือยกร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญปี 60 ทันที
ซึ่งที่ทุกคนกำลังถกเถียงอยู่ในขณะนี้ คือ ใครจะเป็นประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ ซึ่งทางฟากฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ มีมติเสนอชื่อ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
ขณะที่เจ้าตัวก็ยังไม่เปิดปากถึงความชัดเจนว่า จะกระโดดลงเล่นในเวทีการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมานายอภิสิทธิ์คนนี้นี่แหละ คือคนที่ประกาศจุดยืนทางการเมืองชัดเจนว่าไม่รับรัฐธรรมนูญฉบับนี้และเห็นสมควรที่จะแก้ไข
โดยจากการให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า “ผมเคยแถลงไปแล้วว่าไม่รับคำถามพ่วง และเคยบอกว่าไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ เพราะต้องการเห็นทางเลือกที่ชัดเจนว่า ถ้าไม่รับแล้วเป็นอย่างไร การแถลงของผมในวันนี้เป็นการแสดงจุดยืน ไม่ใช่มติของพรรค แต่สิ่งที่แถลงวันนี้ ก็ไม่ใช่ความเห็นส่วนตัว แต่เรียกได้ว่า เป็นความเห็นชอบตามอุดมการณ์ของพรรค ตั้งแต่ พ.ศ.2489 และจุดยืนวันนี้ ไม่ใช่เพื่อตอบสนองในอุดมการณ์ แต่เพื่อแสวงหาคำตอบให้กับอนาคตของประเทศไทยอย่างแท้จริง”
ขณะที่คนภายในพรรคเอง อย่างนายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส. นครศรีธรรมราช ก็เดินเกมสนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ รับตำแหน่งประธาน คณะกรรมาธิการชุดนี้อย่างเต็มที่ พร้อมทั้งมีการส่งคีย์คนสำคัญของพรรค เพื่อไปพูดคุยกับระดับแกนนำหลักของรัฐบาล ในการลดความระแวงแคลงใจด้วย
ล่าสุดหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตในตำแหน่งนี้จากฝั่งพรรคพลังประชารัฐ อย่างนายสุชาติ ตันเจริญ รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่หนึ่ง ได้ออกมาประกาศจุดยืนแล้วว่า ไม่ขอรับตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ แถมยังสนับสนุนนายอภิสิทธิ์เสียด้วยซ้ำ เพราะเชื่อว่าเป็นบุคคลที่มีความรู้ความสามารถหากเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้
นอกจากนี้ บุคคลจากฝั่งฝ่ายค้านที่เป็นผู้เปิดเกมในเรื่องนี้ก็สนับสนุนนายอภิสิทธิ์เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชาติ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทย และนายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด โฆษกพรรคเพื่อไทย
แต่ทาง 7 พรรคฝ่ายค้านเองก็ยังไม่มีการหารือในเรื่องนี้อย่างเป็นทางการ เนื่องจากต้องรอการพิจารณาส่งบุคคลเข้าร่วมคณะกรรมาธิการชุดนี้ก่อน ทั้งนี้ ตามหลักกฎหมายบุคคลที่เข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้สามารถบุคคลภายนอกได้ ซึ่งนายอภิสิทธิ์ก็เข้าข่ายในการทำหน้าที่ตรงนี้
ขณะที่พรรคพลังประชารัฐ ก็เดินหน้าเต็มสูบเฟ้นหาบุคคลเข้ามาทำหน้าตรงนี้ และยืนยันว่าตำแหน่งประธานคณะกรรมาธิการ ต้องเป็นของพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แถมยังแย้มๆมาด้วยว่า อาจจะเป็นบุคคลภายนอกด้วย
ส่วนประเด็นสำคัญในการแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับนี้คือ มาตรา 256 ซึ่งเป็นมาตราที่จะปลดล็อคให้รัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และไม่แปลกที่พรรคฝ่ายค้านจะเห็นดีเห็นงามด้วยกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะมีธงแก้ไขมาตรานี้เหมือนกัน
แต่ดูจากทรงแล้วงานนี้ไม่ง่าย เนื่องจากด่านแรกต้องผ่านวาระรับหลักการก่อน โดยต้องมีเสียงเห็นชอบไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของทั้งสองสภา และในจำนวนนี้ต้องมีเสียง ส.ว.เห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนสมาชิกทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ของวุฒิสภา
ด่านที่สอง ในวาระที่สาม ต้องมีเสียงเห็นชอบมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกทั้งสองสภา นอกจากจะมีเสียง ส.ว.ไม่น้อยกว่า 1 ใน 3 ตามวาระแรก ยังต้องมีเสียง ส.ส.จากพรรคการเมืองที่สมาชิกมิได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี ประธานสภาผู้แทนราษฎรหรือรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งหมายถึงฝ่ายค้าน ต้องเห็นชอบด้วยไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของทุกพรรคดังกล่าวรวมกัน
ส่วนด่านสุดท้าย ก่อนที่นายกรัฐมนตรีจะนำความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย ส.ส.หรือ ส.ว. หรือเสียงสมาชิกทั้งสองสภารวมกัน ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 มีสิทธิเข้าชื่อกันเสนอความเห็นต่อประธานสภาที่ตนเป็นสมาชิก ขอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการแก้ไขมานั้น ขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือไม่
ท้ายที่สุดคีย์แมนที่สำคัญ คือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม เนื่องจากเป็นบุคคลสำคัญที่มีความเกี่ยวข้องกับรัฐธรรมนุญฉบับนี้มากที่สุด แต่จากคำให้สัมภาษณ์แล้วก็ไม่ได้ขัดข้องในเรื่องนี้ และไม่ได้ยึดติดในตัวบุคคลที่จะมาเป็นประธานคณะกรรมาธิการ แม้ว่าตัวนายอภิสิทธิ์เอง จะลาออกจากการเป็นส.ส. เพราะไม่สามารถยอมรับในตัวพล.อ.ประยุทธ์ และการที่พรรคประชาธิปัตย์ เข้าร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาลก็ตาม
สรุปจะกลายเป็นโอกาสหรือวิกฤติ คงต้องถามใจผู้นำรัฐบาลดู แต่ต้องยอมรับว่าการดึงนายอภิสิทธิ์ มาขึ้นเวทีอีกหนหลังจากอำลาจากไปแล้ว เป็นการวางหมากที่ช่ำชอง และเป็นการเรียกคะแนนพรรคประชาธิปัตย์จากประชาชนได้ไม่ใช่น้อย