ช่วงที่ทั้ง PM2.5 และ ไวรัสโคโรนา กำลังเป็นข่าวโด่งดัง หน้ากาก N95 ถือว่าเป็นหน้ากากที่มีบทบาทอย่างมาก ถึงขนาดที่ตอนนี้ขาดตลาด ราคาแพง เนื่องจากเป็นที่ต้องการทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน มาดูกันดีกว่าว่า หน้ากากชนิดนี้มีคุณสมบัติอย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ เมื่อเทียบ หน้ากากธรรมดา กับ หน้ากาก N95 สาเหตุที่หน้ากากธรรมดาไม่สามารถป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 ได้ เพราะแผ่นกรองของหน้ากากธรรมดา มีความละเอียดไม่เพียงพอที่จะป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งจากการทดสอบของหลายๆ แหล่งระบุว่า สามารถป้องกันได้ประมาณ 60-70% เท่านั้น แต่ หน้ากาก N95 ผลิตจากเส้นใยพิเศษที่สามารถกรองฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่มีขนาดใหญ่กว่า 0.3 ไมครอนได้ ทำให้ป้องกันฝุ่นละอองขนาด PM 2.5 ได้มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยป้องกันได้อย่างน้อย 95%
ขณะที่ หน้ากากธรรมดา ถูกออกแบบมาเพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายละอองจาก ตัวผู้ใส่ อาทิ ไอ จาม เชื้อโรค ไม่ให้กระจายสู่ภายนอก ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อป้องกันการสูดหายใจเข้า จึงไม่ได้ออกแบบให้ปกคลุมมิดชิด สังเกตได้ง่ายๆ ว่าเวลาเราใส่หน้ากากธรรมดา เรายังรู้สึกว่ามีลมผ่านรอบๆ หรือได้กลิ่นบริเวณหน้ากากอยู่
ส่วนในกรณี เชื้อ ไวรัสโคโรนา นายแพทย์เรวัต วิศรุตเวช ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Rewat Wisutwet M.D. ว่า PM 2.5 มีขนาดเล็กมากเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ถ้าเทียบกับขนาดของเส้นผมคนก็จะเล็กกว่าประมาณ 25 เท่า โคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 ก็มีขนาดเล็กมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นการสวมใส่หน้ากากอนามัยแบบธรรมดาจะไม่สามารถป้องกันได้ และแนะนำให้ใช้แบบเอ็น 95 และสามารถป้องกันได้ทั้ง 2 ชนิดที่กำลังก่อปัญหากับระบบทางเดินหายใจให้กับประชาชนพร้อมกันอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม มีรายงานทางการแพทย์ยืนยันว่า หน้ากาก N95 สามารถป้องกันการติดเชื้อ ไวรัสโคโรนา ได้ประมาณ 90% ด้านกรมควบคุมโรคของไทย และข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) มีการเตือนประชาชนเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพของตัวเอง เพราะนอกจากการสวมใส่หน้ากากที่สามารถป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสได้ สิ่งประพฤติขั้นพื้นฐานง่ายๆ อาทิ ความถี่ในการล้างมือให้สะอาดเป็นประจำ, เลี่ยงสถานที่แออัด, พยายามเลี่ยงคนที่มีอาการไอ จาม มีน้ำมูก รวมถึงมีไข้สูงเกิน 38 องศา ยังคงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องทำตามอย่างเคร่งครัดด้วยเช่นกัน