หลายคนคงจะทราบดีว่า การดื่มน้ำเยอะ ทำให้ร่างกายทำงานได้ดี ไม่ว่าจะเป็น ระบบขับถ่าย ล้างพิษออกจากอวัยวะ รวมถึงการนำสารอาหารและออกซิเจนไปสู้เซลต่างๆ แต่หลายท่านคงยังไม่ทราบว่าร่างกายของเรานั้นต้องการน้ำในปริมาณที่พอดีเท่านั้น หาก ดื่มน้ำเยอะเกินไป ก็อันตราย
โดย นพ.สุพรรณ ศรีธรรมา อดีตอธิบดีกรมการแพทย์เคยกล่าวไว้ว่า การ ดื่มน้ำเยอะเกินไป กว่าปริมาณที่กำหนด จะทำให้ความเข้มข้นของแร่ธาตุโซเดียมจางลง และมีอาการ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน อาจกระตุกหรือชัก สมองบวม ปอดบวม และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
แล้วแบบนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนถึงจะดี ?
ผู้ที่อายุ 4-8 ปี ควรดื่มน้ำ 5 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,200 มล.)
ผู้ที่อายุ 9-13 ปี ควรดื่มน้ำ 7-8 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,600-1,900 มล.)
ผู้ที่อายุ 14-18 ปี ควรดื่มน้ำ 8-11 แก้วต่อวัน (ประมาณ 1,900-2,600 มล.)
ผู้หญิงที่อายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำ 9 แก้วต่อวัน (ประมาณ 2,100 มล.)
ผู้ชายที่อายุ 19 ปีขึ้นไป ควรดื่มน้ำ 13 แก้วต่อวัน (ประมาณ 3,000 มล.)
โดยปริมาณข้างต้นได้นับรวมปริมาณน้ำที่ได้จากอาหาร ผักหรือผลไม้ต่าง ๆ เช่น เบอร์รี่ แตงโม แตงกวา พริกหยวก ผักโขม ขึ้นฉ่ายหรือดอกกะหล่ำ เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ตาม อาจจำเป็นต้องเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำให้มากขึ้น เมื่อมีการออกกำลังกายอย่างหนัก หรือ อยู่ในสภาพอากาศที่ร้อน ป่วย มีไข้หรือมีปัญหาสุขภาพ เช่น ติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะหญิงตั้งครรภ์ ควรเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำเป็น 10 แก้วต่อวัน และ 13 แก้วต่อวันสำหรับผู้ที่ต้องให้นมบุตร
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการแล้ว ?
วิธีการสังเกตที่ง่ายที่สุดว่าเราดื่มน้ำเพียงพอหรือยัง โดยผู้ที่ดื่มน้ำเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจะขับถ่ายสะดวก และมีปัสสาวะสีเหลืองใส แต่ผู้ที่ดื่มน้ำไม่เพียงพอจะมีปัญหาการขับถ่ายหรือท้องผูก และมีปัสสาวะสีเข้ม
ขอบคุณข้อมูลจาก : pobpad.com
อ่านเพิ่มเติม >>>แค่ดื่มน้ำหลังจากตื่นนอนในตอนเช้า ได้ประโยชน์ถึงเพียงนี้<<<