หลังจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการปราบปราม คุมตัว พระครูวิลาสกิจจานุกูล รองเจ้าอาวาสวัดกุฎีทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี และ พระครูไกรศร วิลาศ เจ้าอาวาสวัดตราชู อ.พรหมบุรี หลังเกี่ยวข้องกับการปล่อยเช่าพระพุทธรูป 3 องค์หรือพระรัตน พระพุทธรูปเก่าแก่ประจำวัดตราชู โดยมิชอบ ซึ่งพระผู้ใหญ่ทั้ง 2 รูปให้การภาคเสธแต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อก่อนใช้อำนาจ ม.29 ตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ ให้สึกจากการเป็นพระต่อหน้าพระพุทธรูป และนำตัวเข้าห้องคุมขังกองปราบฯ ล่าสุด บรรยากาศของทั้ง 2 วัดเงียบเหงา โดยชาวบ้านเผย “หลวงพี่กิตติ” รับเหมาก่อสร้างโครงการต่าง ๆ ของรัฐ และอ้างสามารถฝากลูกหลานให้เข้ารับราชการได้
เช้าวันนี้ (25 พ.ค.61) บรรยากาศที่วัดตราชู และวัดกุฎีทอง อ.พรหมบุรี จ.สิงห์บุรี เป็นไปอย่างเงียบเหงา โดยเฉพาะที่วัดกุฎีทอง กุฏิของอดีตพระครูวิลาสกิจจานุกูล หรือ “พระครูกิตติ” ที่ใหญ่โตเท่ากับศาลาวัด ถูกปิดเงียบห้ามผู้ใดเข้าไปอย่างเด็ดขาด หลังจากเมื่อเย็นวานนี้ (24 พ.ค.61) เจ้าหน้าที่กองบังคับการปราบปราม นำกำลังกว่า 100 นาย บุกเข้าวัดกุฎีทอง เพื่อจับกุม พระครูไกรสรวิลาส เจ้าอาวาสวัดตราชู และ พระครูวิลาสกิจจานุกูล หรือ “พระครูกิตติ” ตามหมายจับ และหมายค้นฯ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ทำการตรวจค้นวัดกุฎีทองนานหลายชั่วโมงจนถึงดึกนำหลักฐานที่ตรวจค้นได้ทั้งหมดเดินทางกลับไปตอนประมาณตี 3 สำหรับหลักฐานที่ได้มีทั้งทรัพย์สินที่เป็นพระเก่ามีมูลค่านับร้อยล้านบาท นอกจากนี้ ยังมีเอกสารต่างในเรื่องการประมูลงานรับเหมางานก่อสร้างของหน่วยงานรัฐหลาย ๆ โครงการ เอกสารรายชื่อในการโยกย้ายข้าราชการหลาย ๆ กรมกองทั้งระดับล้างและระดับสูง เป็นการซื้อตำแหน่งและยังมีหลักฐานอื่น ๆ อีกมากมาย
จากการสืบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ ที่มีข้อมูลตรงกัน กับประชาชนทั่ว ๆ ไปในจังหวัดสิงห์บุรีเป็นที่ทราบกันก็คือ อดีตพระครูวิลาสกิจจานุกูล หรือ “พระครูกิตติ” นั้นนอกจากเป็นพระแล้ว ยังมีอาชีพรับเหมาก่อสร้างงานโครงการต่าง ๆ ของหน่วยงานรัฐทั้งระดับท้องถิ่นและระดับกรมต่าง ๆ มีบ่อดินรับจ้างถมดินและอีกหลายอย่าง นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยกันในหลายวงการว่า สามารถฝากลูกหลานให้เข้ารับราชการได้ หรือสามารถโยกย้ายตำแหน่งหรือเลื่อนยศให้กับข้าราชการให้สูงขึ้นไปได้ จึงมีลูกศิษย์ลูกหาเป็นจำนวนมาก ทั้งบุคลธรรมดา นักการเมืองท้องถิ่น นักการเมืองระดับประเทศ ข้าราชการทุกระดับ ดารานักแสดง แม้แต่นักข่าวท้องถิ่นบางรายก็ยังเข้ามาทำหน้าที่คอยเขียนข่าวเชียร์หรือเขียนข่าวแก้ต่างให้
ซึ่งหลังจากนี้ พ.ต.อ.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บังคับการปราบปราม กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามจะขยายผลคดีต่อไปอีกเพื่อนำตัวผู้ร่วมขบวนการที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาดำเนินคดีต่อไป โดยอาจจะมีหมายจับผู้ที่เกี่ยวข้องกับอดีตพระผู้มีอิทธิพลรายนี้เพิ่มขึ้นอีก
ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากชาวบ้าน จ.สิงห์บุรี กว่า 50 คน เข้าร้องทุกข์กับ พล.ต.ต.ไมตรี ฉิมเฉิด ผบก.ป. เนื่องจากพระพุทธรูปเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 หายไปอย่างไร้ร่องรอยพร้อมกับเจ้าอาวาสวัดตราชูจำนวน 3 องค์ และก่อนหน้านี้เคยร้องทุกข์เพื่อให้ติดตามทวงคืนพระพุทธรูปดังกล่าวมาแล้วครั้งหนึ่งแต่คดีไม่คืบหน้า นอกจากนี้ ยังมีการโยกย้ายเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำคดีก่อนหน้านี้ด้วย จึงกังวลว่าอาจจะไม่ได้พระพุทธรูปล้ำค่าทั้งหมดกลับคืนสู่วัด
ทำให้เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนกองกำกับการ 4 กองบังคับการปราบปราม ลงพื้นที่ติดตามคดีจนทราบว่า พระครูไกรสรวิลาส เป็นผู้ถือกุญแจหอระฆังที่ประดิษฐานพระพุทธรูปเก่าแก่ดังกล่าว และยังพบว่า พระครูไกรสรวิลาส ได้ร่วมกับ พระครูวิลาสกิจจานุกูล เปิดทางให้บุคคลอื่นนำพระพุทธรูปออกจากวัดไป โดยแลกกับเงินจำนวน 200,000 บาท ครั้งแรก “พระครูกิตติ” เดินทางมารับพระพุทธรูปด้วยตนเองจำนวน 2 องค์ และมารับอีกภายหลังอีก 1 องค์ จึงนำกำลังเข้านิมนต์ทั้ง 2 รูปโดย พระครูไกรสรวิลาส ที่มาหลบซ่อนตัวในวัดกุฎีทอง ส่วนพระครูกิตติ หรือ พระครูวิลาสกิจจานุกูล เจ้าหน้าที่ตำรวจตามไปควบคุมตัวได้ที่ใน อ.เมือง จ.สิงห์บุรี และนิมนต์กลับมาที่วัดกุฎีทอง มาสอบปากคำที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) โดยทั้งหมดให้การภาคเสธ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ จึงแจ้งข้อกล่าวหาตามหมายจับและใช้อำนาจตาม พ.ร.บ.คณะสงฆ์ มาตรา 29 ให้พระทั้ง 2 รูป ยอมสละสมณเพศ โดยการสึกต่อหน้าพระพุทธรูป จากนั้นจึงได้นำตัวทั้ง 2 เข้าห้องคุมขังกองปราบฯ เพื่อเตรียมนำตัวไปฝากขังยังศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค 1 จ.สระบุรี เมื่อช่วงเช้าวันนี้่ (25 พ.ค.)