ธ.ก.ส.เดินหน้าปล่อยกู้ปลูกข้าวโพด 2 ล้านไร่ ไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 3 หมื่นบาท/คน คิดดอกเบี้ย 0.01% ต่อปี
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. นายศรายุทธ ยิ้มยวน รองผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า ตามที่รัฐบาลโดยกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำโครงการสานพลังประชารัฐเพื่อสนับสนุนการปลูกข้าวโพดหลังฤดูทำนา พื้นที่เป้าหมาย 2 ล้านไร่ ใน 33 จังหวัดทั่วประเทศ
ธ.ก.ส. จะสนับสนุนสินเชื่อโครงการดังกล่าวแบ่งเป็น 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา เพื่อให้เกษตรกรใช้เป็นทุนหมุนเวียนในการผลิตและจัดหาปัจจัยการผลิตผ่านบัตรเกษตรสุขใจ
โดยผู้ขอสินเชื่อจะต้องเป็นเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรและมีความประสงค์ปรับเปลี่ยนการปลูกข้าวมาปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ในวงเงินไร่ละไม่เกิน 2,000 บาท พื้นที่ไม่เกิน 15 ไร่ วงเงินกู้รวมไม่เกิน 30,000 บาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยเพียงร้อยละ 0.01 ต่อปี ระยะเวลาชำระคืนไม่เกิน 6 เดือน นับตั้งแต่วันกู้ วงเงินกู้รวม 4,000 ล้านบาท เริ่มจ่ายเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2561 – 31 ม.ค.2562
2.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนาผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อให้เกษตรกรที่เป็นสมาชิกสหกรณ์การเกษตรขอรับสินเชื่อตามโครงการดังกล่าวผ่านสหกรณ์การเกษตรที่ตนเองเป็นสมาชิก โดยสหกรณ์สามารถกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่วันกู้
ทั้งนี้ หากสหกรณ์ไม่ได้เข้าร่วมโครงการ เกษตรกรสมาชิกสามารถ ขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการสหกรณ์อนุญาตให้เข้าร่วมโครงการได้ จากนั้นจึงติดต่อกับ ธ.ก.ส.ในพื้นที่เพื่อขึ้นทะเบียนเป็นลูกค้าและขอรับสินเชื่อตามโครงการ ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย.2561-31 ม.ค.2562
และ3.โครงการสนับสนุนสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์หลังฤดูทำนา ผ่านสหกรณ์การเกษตร เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการรวบรวมข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ โดยสหกรณ์สามารถกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือน นับตั้งแต่ วันกู้ วงเงินกู้รวม 7,200 ล้านบาท ระยะเวลาจ่ายเงินกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.2562 – 30 มิ.ย. 2562
นอกจากนี้ ธ.ก.ส.ยังประสานกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนมาให้ความรู้โดยการจัดอบรมวิธีการปลูกและเก็บเกี่ยวข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และกรณีเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติและจากศัตรูพืช เกษตรกรยังได้รับความช่วยเหลือผ่านโครงการประกันภัยพืชผล โดยรัฐบาลอุดหนุน ค่าเบี้ยประกันภัยในอัตราไร่ละ 65 บาท ให้เกษตรกรทั้งหมด ซึ่งผู้ประสบภัยจะได้รับวงเงินคุ้มครอง 1,500 บาทต่อไร่ สำหรับภัยธรรมชาติ 8 ภัย และวงเงินคุ้มครอง 750 บาทต่อไร่ สำหรับภัยศัตรูพืชหรือโรคระบาด
นอกจากนี้ รัฐบาลได้ประสานงานภาคเอกชน อาทิ สมาคมผู้รับซื้อข้าวโพดประกันการรับซื้อผลผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในราคา 8 บาทต่อกิโลกรัม (เบอร์ 2 ความชื้นไม่เกิน 14.5%) เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่เกษตรกรว่านอกจากจะได้รับการดูแลทั้งด้านเงินทุนการคุ้มครองความเสี่ยงจากการผลิตแล้ว ยังสามารถขายผลผลิตได้ในราคาที่เป็นธรรมช่วยสร้างรายได้ที่แน่นอน